รถเสียเป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากเจอแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่พ้น การลากรถอย่างถูกวิธี จะทำให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ทั้งต่อตัวรถและคนขับ รวมถึงยังช่วยลดความเสียหายไม่ให้ถูกลุกลามมากขึ้น
ในกรณีที่ใช้บริการของรถลากสาธารณะซึ่งมีให้บริการทั่วไป
การตรวจสอบมีไม่มากไปกว่าการดูความแน่นหนาของจุดยึดของรถลาก รวมถึงการยกล้อให้ถูกกับระบบขับเคลื่อน
ซึ่งในกรณีที่เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ควรยกล้อหน้าให้ลอยขึ้นและใช้ล้อหลังในการลาก
เช่นเดียวกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ก็ควรยกล้อหลังขึ้น และใช้ล้อหน้าในการลาก
เพราะล้อเหล่านี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับชุดเกียร์ จึงไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสมในน้ำมันเกียร์ในระหว่างที่มีการลาก
ส่วนในกรณีที่ใช้รถยนต์คันอื่นลากจูง ควรหาวัสดุที่ทนทานต่อแรงฉีกขาด เช่น เชือกหรือสายสำหรับลากรถด้านหนึ่ง
ผูกเข้ากับท้ายรถที่ทำหน้าที่ลาก ไม่ควรผูกเชือกไว้กับกันชน แต่ควรผูกเชือกไว้กับส่วนที่แข็งแรงของชิ้นส่วนโครง
สร้างรถ หรือผูกไว้กับโลหะเฉพาะที่ทำเป็นตะขอยึดเกี่ยวกับเชือกลากรถ
และควรเว้นระยะห่างระหว่างรถลากและรถที่ถูกลาก ห่างกันประมาณ 5 เมตร
ช่วงกลางของเชือกที่ลากจะต้องใช้ผ้าสีแดงหรือธงสีแดงผูกแสดงไว้ เพื่อเป็นที่สังเกตได้ชัดเจน รวมถึงท้ายรถของ
คันที่ถูกลาก ควรเปิดไฟฉุกเฉินและใช้กระดาษแข็งขนาดใหญ่พอสมควรเขียนคำว่า “รถลาก” แปะไว้ด้านท้าย
รถที่ทำหน้าที่ในการลากควรออกตัวด้วยความนุ่มนวลและต้องส่งสัญญาณให้รถคันที่ถูกลาก ทราบทุกครั้ง เช่น
ตอนขับเปลี่ยนเลน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เป็นต้น ที่สำคัญคือประคับประคองให้รถวิ่งไปตามเส้นทางโดยไม่สะดุด
รักษาความเร็วคงที่ไปเรื่อยๆ พยายามให้เชือกที่ใช้ลากมีความตึงอยู่ตลอดเวลา
หากเมื่อใดที่เชือกหย่อนและรถคันหน้า เร่งความเร็วขึ้นไม่สัมพันธ์กับความเร็วของรถที่ถูกลากก็จะเกิดการกระตุก
และกระชากอาจทำให้เชือกขาดได้
เมื่อรถที่ถูกลากไม่มีการสตาร์ทเครื่องให้เครื่องยนต์ทำงาน ที่หม้อลมเบรกก็จะไม่สามารถเก็บสูญญากาศได้
ผู้ขับขี่จะสามารถเหยียบเบรกด้วยความนิ่มนวลได้เพียงแค่ครั้งหรือ 2 ครั้งเท่านั้น
จากนั้นเบรกจะแข็งต้องออกแรงเหยียบเบรกมากเป็นพิเศษ
ดังนั้น หากผู้ขับขี่ด้านรถที่ถูกลากต้องการชะลอความเร็ว ก็อาจใช้วิธีเหยียบเบรกย้ำหลายๆ ครั้ง
ซึ่งต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ และต้องประคับประคองให้เชือกมีความตึงอยู่ตลอดเวลาด้วย
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจ และสติในการควบคุมลักษณะการควบคุมดังกล่าวอย่างระมัดระวัง
การลากในลักษณะนี้ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและควรลากต่อครั้งในระยะทางที่ไม่มากจน
เกินไป เพราะในระหว่างที่มีการเคลื่อนตัว ชิ้นส่วนที่ติดตั้งอยู่ในระบบขับเคลื่อน เช่น
เกียร์หรือเฟืองท้ายก็จะขยับเขยื้อนตามไปด้วย และทำให้เกิดความร้อนสะสม
โดยเฉพาะรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ เมื่อเครื่องยนต์ไม่ทำงานน้ำมันเกียร์อัตโนมัติก็จะไม่หมุนเวียน
หากลากรถไปในระยะทางไกลๆ จะเกิดความเสียหายกับชุดเกียร์ได้
ขอขอบคุณ : นิตยสาร Thaidriver