แต่ในความเป็นจริง มีสารพันเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการเบรกที่จะทำให้การขับรถปลอดภัยขึ้น
ถ้ามีเวลาเหลือควรเหลือบตามองรถคันที่ตามมาด้วยว่า เขาน่าจะเบรกทันหรือไม่
ถ้าดูเหมือนจะไม่ทัน เราก็เบรกเบานิดให้ชิดรถคันหน้าอีกหน่อยก็ยังดี
การถูกชนท้าย เราไม่ผิด แต่เสียเวลาและรถพัง
การเบรก ถ้ากดแป้นเบรกแต่เนิ่นๆ ก็สามารถใช้ไฟเบรกเตือนผู้ขับรถคันตามมาได้ โดยแตะ
เบรกให้ไฟเบรกสว่างขึ้นถอนเท้าสักนิดให้ไฟเบรกดับแล้วกดซ้ำเพื่อให้ไฟเบรกกระพริบเป็นการ
กระตุ้นเตือน การตรวจสอบไฟเบรกคนเดียว ทำได้โดยจอดให้ท้ายรถชิดกำแพงตอนมืด
กดแป้นเบรก แค่นี้ก็ตรวจว่าหลอดไฟเบรกขาดหรือไม่ ด้วยตัวเองได้แล้ว
การติดตั้งระบบเสริมให้ไฟเบรกกระพริบได้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะจะสร้างความสับสนได้
ไฟเบรกไม่ได้สว่างหรือกะพริบตามการกดแป้นเบรกจริงๆ ในคราวคับขันกับการเบรกที่ได้ระยะ
ทางสั้นและปลอดภัยคือ เบรกจนล้อเกือบล็อก(ถ้ามีเอบีเอสก็ต้องเบรกจนเอบีเอสเกือบทำงาน)
ทำได้โดยหัดทำบนถนนกว้างๆ และไม่มีรถคันอื่นใกล้ๆ
(เอบีเอสคือ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ดังนั้นในครั้งที่เบรกแล้วล้อไม่ล็อก ก็ไม่เกี่ยวอะไรกัน)
ระบบจะทำงานเมื่อล้อเริ่มล็อก โดยจะคลายการจับของผ้าเบรกแล้วกดซ้ำสลับกันถี่ๆ
หลายครั้งต่อ 1 วินาที และจะมีการสะท้อนถี่ๆ ที่แป้นเบรกพร้อมกับอาจจะมีเสียงกึงกังถี่ๆ
ตามการจับ-ปล่อย ให้ได้ยิน จึงไม่ต้องตกใจ หากเอบีเอสทำงาน เอบีเอสไม่ได้ทำให้รถเบรกดี
หรือมีระยะเบรกสั้นลง เพราะประสิทธิภาพการเบรกตามปกติที่ล้อไม่ล็อก
ต้องขึ้นอยู่กับระบบเบรกพื้นฐาน ไม่เกี่ยวกับเอบีเอสเลย เอบีเอสจะช่วยเมื่อมีการเบรกกะทันหัน
หรือบนถนนลื่นเท่านั้น เพราะถ้าล้อล็อกขณะที่รถยังไม่หยุดนิ่ง จะทำให้ไม่สามารถบังคับทิศทาง
ด้วยพวงมาลัย รถจะไถลไปทางไหน ก็ต้องไป โอกาสชนย่อมสูงครับ ถ้าเอบีเอสได้ทำงาน
ระยะเบรกอาจจะยาวขึ้นก็เป็นไปได้ไม่ใช่มีแล้วเบรกจะดีหรือระยะสั้นลง
เปรียบเทียบการทำงานของเอบีเอสแบบง่ายๆ ว่าคนกำลังวิ่ง หากจะหยุดเร็วๆ แบบฉับพลัน
ถ้าไม่มีเอบีเอสแล้วพื้นแห้งก็เท่ากับหยุดซอยเท้าเกือบจะทันที พื้นรองเท้าก็ครูดกับพื้นไปไม่ไกล
แต่ถ้าเป็นพื้นน้ำแข็งลื่นๆ การหยุดซอยเท้าในทันที ตัวจะยังพุ่งไป ทั้งที่เท้าหยุดลงแล้ว
ก็จะลื่นไถลไปไกลแบบเคว้งคว้าง ถ้ามีเอบีเอส ก็จะเหมือนมีการค่อยๆ ชะลอการซอยเท้าสักพัก
แล้วจึงหยุดนิ่ง แม้จะหยุดบนน้ำแข็งก็จะไม่ปัดเป๋ แต่ถ้าจะหยุดพื้นเรียบและฝืด การชะลอการ
ซอยเท้าให้ช้าลง ค่อยๆช้าลง อาจใช้ระยะมากกว่าการหยุดทันทีและปล่อยให้พื้นรองเท้าครูดไป
สั้นๆ การขับรถที่มีเอบีเอสก็อย่าชะล่าใจ เพราะช่วยได้ในบางสถานการณ์เท่านั้น
การเบรกในสภาพถนนเมืองไทยกว่า 95% เอบีเอสไม่ได้ทำงาน
แต่การที่มีเอบีเอส ย่อมดีกว่าไม่มี ถ้ามีโอกาสเลือกซื้อรถที่มี ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะเอบีเอส
ไม่ได้ช่วยตอนเบรกแรงๆ เท่านั้น เบรกเกือบแรง แต่ถนนลื่น ล้อก็ล็อกและเอบีเอสก็ช่วยได้
ถนนที่ลื่น ไม่ได้เกิดจากฝนตกเท่านั้น ถ้ามีฝุ่นทรายมาก ถนนก็ลื่นได้
การป้องกันล้อล็อก ไม่ได้ช่วยเฉพาะถนนลื่นๆ ตลอดทั้งพื้นเท่านั้น
แต่การลื่นเฉพาะล้อ ไม่ครบทั้ง 4 ล้อ หากมีการเบรกแรงสักหน่อย ล้อก็มีโอกาสล็อกเฉพาะ
ในล้อที่ลื่น แล้วรถก็หมุน ! เช่น การลงไหล่ทางเฉพาะ 2 ล้อด้านซ้าย ถ้าไม่มีเอบีเอส
แล้วกดเบรกแรงๆ รถจะปัดเป๋ เพราะล้อด้านซ้ายจะล็อกตัวหยุดหมุน เอบีเอสช่วยให้ล้อไม่ล็อก
และช่วยไม่ให้รถปัดเป๋ได้ แต่ระยะเบรกอาจยาวได้ในบางกรณี จึงควรเบรกพร้อมกับการหาทิศ
ทางหักหลบ ถ้าจำเป็นต้องหลบ ถ้าต้องเบรกแบบหนักๆ สำหรับรถที่มีเอบีเอส ให้กดเบรกแช่ลง
ไปเลย เพราะการถอนเท้าเพื่อย้ำเบรกใหม่ เอบีเอสจะตัดการทำงานและกว่าจะกลับมาทำงาน
ก็อีกหลายเสี้ยววินาที
ถ้าไฟเตือนเอบีเอสไม่ยอมดับหลังการบิดกุญแจไว้ 3-5 วินาที หรือสว่างขึ้นขณะขับ แสดงว่า
เอบีเอสมีความบกพร่อง ให้ทดลองเบรกบนถนนว่างๆ ว่า น้ำหนักการกดแป้นเบรกและการเบรก
ยังปกติหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วการที่เอบีเอสบกพร่องจะเป็นแค่ไม่มีการป้องกันล้อล็อก
แต่ระบบเบรกพื้นฐานยังใช้งานได้ เป็นเสมือนเป็นรถที่ไม่มีเอบีเอส แต่ยังมีเบรก
สามารถขับต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง และนำรถไปซ่อมเอบีเอสต่อไป
การมองไปข้างหน้ากับการเบรกเกี่ยวข้องกัน ยิ่งขับเร็วยิ่งต้องมองไปข้างหน้าในจุดที่ไกลขึ้น
เพราะระยะเบรกจะยาวขึ้น ไม่ใช่เพราะความเร็วที่มากจะทำให้เบรกต้องทำงานหนักขึ้น
แต่เป็นเพราะแต่ละเสี้ยววินาทีที่ผ่านไป รถได้ผ่านระยะทางมากขึ้นเรื่อย
เราใช้หน่วยการวัดที่คุ้นเคยเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง
จึงไม่ค่อยรู้ว่าความเร็วที่ใช้นั้นเร็วขนาดไหน เพราะชั่วโมงดูแล้วนานต้องเทียบเป็นวินาที
เปรียบเทียบเป็นหน่วยเมตร/วินาที จะชัดเจนกว่า ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.เท่ากับ 28
เมตร/1 วินาที ถ้านึกว่า 28 เมตรไกลแค่ไหนไม่ออก นึกถึงสนามฟุตบอลตามยาว
จากเสาประตูหนึ่งไปยังอีกฟาก เท่ากับ 100 เมตร 100 กม./ชม. = 28 เมตร/วินาที
1 สนามฟุตบอลตามยาว ใช้เวลารถแล่นผ่าน 3 วินาทีกว่าเท่านั้นที่ความเร็ว 150 กม./ชม.
= 42 เมตร/วินาที
1 สนามฟุตบอลตามยาว ใช้เวลารถแล่นผ่านเกือบๆ 2.5 วินาทีเท่านั้นที่ความเร็ว 200
กม./ชม.= 56 เมตร/วินาที
1 สนามฟุตบอลตามยาว ใช้เวลารถแล่นผ่านเกือบๆ 2 วินาทีเท่านั้นระยะทาง/วินาทีที่รถแล่น
ได้ นอกจากจะโยงไปถึงเรื่องการเบรก ยังอยากจะบอกว่าเวลาขับรถเร็วนั้นๆ
และอันตรายขนาดไหน ถ้า 150 กม./ชม. ใช้เวลา 1 วินาทีกับระยะทาง 42 เมตร
สมมุติว่าเราเห็นสิ่งกีดขวางแล้วต้องเบรก หากการตอบสนองของสมองและเท้าขวา
ต้องใช้เวลากว่าจะเริ่มกดแป้นเบรกครึ่งวินาที ก็เท่ากับว่ารถแล่นไปอีก 21 เมตรแล้ว
ทั้งที่เบรกยังไม่ได้ทำงาน นี่ยังไม่นับว่าผ้าเบรกจะใช้เวลาและระยะทางอีกกี่วินาทีในการหยุด
สมมุติต้องใช้ระยะเบรกอีก 30 เมตร ก็รวมเป็น 51 เมตรตั้งแต่ตาเริ่มเห็น
ดังนั้นยิ่งขับเร็วยิ่งต้องมองไกล นั่นก็เป็นที่มาของการมองทะลุกระจกรถคันหน้าด้วย
เพราะจะได้ประเมินสถานการณ์ได้ล่วงหน้า การกดแป้นเบรกนับตั้งแต่เริ่มมองเห็น
คนส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 0.3-0.5 วินาที
รถที่ไม่มีเอบีเอสกับการเบรกบนถนนลื่น หรือเบรกกะทันหัน ก็ต้องเบรกไม่แรงจนล้อล็อก
ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ถ้าทำได้ก็จะดีคือ ตั้งสติ เบรกลงไป ถ้าล้อล็อกก็ให้ถอนแป้นเบรกแล้ว
กดซ้ำๆ หรือเรียกว่าย้ำเบรก ซึ่งยังไงก็ไม่มีความถี่เท่ากับเอบีเอสที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ควบคุม
แต่ก็ยังดีกว่าตะลึงแล้วกดเบรกแช่ เพราะอย่างนั้นล้อจะล็อกหรือรถอาจปัดเป๋
ถ้าว่างก็หาถนนโล่งกว้าง กดเบรกแล้วดูว่ารถที่ขับนั้นกดเบรกแรงแค่ไหนล้อถึงจะเริ่มล็อก
ทำซ้ำๆ จนจำแรงกดได้ นั่น คือการเบรกที่ดี การเบรกเพื่อลดความเร็ว คำแนะนำการเบรก
ที่ง่ายและถูกต้อง แต่อาจจะขัดกับความรู้และการปฏิบัติดั้งเดิมของหลายคน ว่าการเบรกที่ดี
ต้องเชนจ์เกียร์ แต่ปฏิบัติง่าย คือ เบรกเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องยุ่งกับการลดเกียร์ต่ำ
หรือพูดแสลงว่า ไม่ต้องเชนจ์เกียร์ช่วย เพราะระบบเบรกก็ทำงานได้เพียงพออยู่แล้ว
หลักการขับรถให้ปลอดภัยในต่างประเทศแห่งหนึ่ง เล่าว่า BRAKE TO SLOW/GEAR TO GO
แปลตรงตัว เบรกเพื่อให้ช้า จะไปต่อก็ด้วยเกียร์ที่เหมาะสม การลดเกียร์ต่ำเพื่อใช้เอนจิ้นเบรก
หรือใช้เครื่องยนต์ช่วงหน่วงบนทางเรียบ มีประโยชน์น้อยมากและไม่จำเป็นต้องทำ เพราะอาจจะ
้เสียสมาธิการกดเบรก ระบบเกียร์และเครื่องยนต์สึกหรอมากขึ้น แต่ช่วยในการเบรกได้นิดเดียว
สามารถทดลองทำดูว่า ถ้าขับรถอยู่ที่เกียร์สูงแล้วลดเกียร์ต่ำลงอย่างเดียว รถจะถูกหน่วงความ
เร็วลงน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการกดเบรกอย่างเดียว ที่ทำให้แทบจะหยุดกึ๊กเลย
การเบรกพร้อมกับการเชนจ์เกียร์ช่วยเบรก นอกจากจะเปล่าประโยชน์ตามที่บอกไว้ข้างต้นแล้ว
ยังทำให้รถมีการถ่ายน้ำหนักหน้า-หลังไป-มา แบบกระดกไปกระดกมาอีกด้วย เบรกมีไว้เพื่อ
หยุดหรือชะลอ โดยไม่ต้องใช้เกียร์ช่วย ในรถเกียร์ธรรมดา หากจะลดเกียร์ต่ำ ก็เพื่อเตรียม
ปล่อยคลัตช์เมื่อเลิกเบรกแล้วจะเร่งต่อแล้ว ไม่ใช้การลดเกียร์เพื่อช่วยเบรกในการขับปกติ
การเบรกเพื่อจอด ไม่ต้องยุ่งกับเกียร์เลยครับ ก่อนจอดค้างอยู่เกียร์ไหนก็เกียร์นั้น
ในรถเกียร์ธรรมดา แนะนำให้เบรกโดยไม่ต้องยุ่งกับการเชนจ์เกียร์และไม่ต้องแตะคลัตช์
เมื่อรถเกือบหยุดสนิทแล้วค่อยเริ่มเหยียบคลัตช์ลงไปและเหยียบให้สุด เมื่อหยุดแล้วค่อยปลด
เป็นเกียร์ว่าง นอกจากการเชนจ์เกียร์ต่ำจะไม่ค่อยได้ประโยชน์แล้ว การเหยียบคลัตช์ลงไป
พร้อมๆกับการเบรก ก็เป็นเสมือนการปลดเกียร์ว่างแล้วเบรก ซึ่งจะทำให้รถไม่มีแรงหน่วงจาก
เครื่องยนต์ เหยียบเบรกเพื่อจอด ก็เบรกอย่างเดียว เมื่อจะจอดสนิทก็ค่อยเหยียบคลัตช์
ส่วนรถเกียร์อัตโนมัติกับการเบรกเพื่อจอดก็คล้ายกัน
เบรกอย่างเดียวไม่ต้องยุ่งกับการลดเกียร์ใดๆ และก็ไม่ควรปลดเป็นเกียร์ว่าง เพราะนอกจากรถ
จะมีแรงเฉื่อยมากขึ้นแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อเกียร์ หากรถยังไม่หยุดสนิทแล้วต้องผลักกลับมาที่
เกียร์ D-เดินหน้า ชุดคลัตช์ในเกียร์จะทำงานหนักกว่าการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง
การเบรกพร้อมกับการเปลี่ยนเลนหรือเปลี่ยนเลนเสร็จแล้วเบรกทันที อันตรายต่อท้ายรถของคุณ
เทคนิคการเบรกอย่างปลอดภัย ไม่ยุ่งยากถ้าเรียนรู้และทำความเข้าใจ
โดย วรพล สิงห์เขียวพงษ์ (GM online)