น่าสนใจ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สารพันการดูแลยางรถยนต์

สารพันยางรถยนต์

1.รัน-อิน ต้องมีการรัน-อิน ยาง ใหม่ก็เช่นกันในช่วง 100-200 กิโลเมตรแรก
ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้โครงสร้างแก้มยางและ
หน้ายางมีการปรับตัว เพราะยางทุกเส้นถูกผลิตออกมาให้รับกับมุมแคมเบอร์ของล้อ
เท่ากับ 0 คือตั้งฉากกับพื้น แต่รถยนต์ทุกคันไม่ได้มีมุมแคมเบอร์เท่ากับ 0
มีทั้งแบะหรือหุบ ในช่วงแรกจึงต้องใช้เวลาให้หน้ายางสึกปรับตัวรับกับศูนย์ล้อ

2. ถ่วงล้อยางต้องหมุนนับพันรอบต่อนาที โดยเฉพาะล้อคู่หน้าที่มีการเลี้ยงด้วยจึง
ต้องมีการถ่วงสมดุล เพราะถ้าล้อคู่หน้าไมได้สมดุล มักมีอาการพวงมาลัยสั่นในบางช่วง
ความเร็ว และทำให้ลูกปืนล้อหรือช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย
เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ หรือถอดยางออกจากระทะล้อ เพื่อสลับยางหรือเปลี่ยนยาง
ต้องมีการถ่วงสมดุลใหม่เสมอ เมื่อใช้งานไปสัก 40 - 50 % ของอายุการใช้งานยาง
ควรถอดมาถ่วงสมดุล เพราะการสึกหรออาจไม่สม่ำเสมอกัน ถ้าใช้วิธีถอดกระทะล้อออก
มาถ่วงสมดุล แล้วยังมีอาการสั่นของพวงมาลัยบางช่วงความเร็ว
ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีถ่วงแบบจี้ คือ ไม่ต้องถอดล้อออกจากรถยนต์เป็นการถ่วงสมดุล
กระทะล้อ ,ยาง ,จานดิสก์เบรก ,เพลาขับ ,ลูกปืนล้อ
และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง แต่โดยทั่วไป การถอดล้ออกมาถ่วงภายนอกก็เพียงพอแล้ว

3. ลมยางแรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่นส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32
ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI)
สำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้มาตรฐานที่ได้มาตรฐานและวัดตอนที่
ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย,
ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และ
อัตราเร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ
จะทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวา ของหน้ายางมากกว่าแนวกลาง

บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆ
ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนน
ลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้างและถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด
และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา

เดินทางไกล ควรเติมแรงดันลมยางแข็งกว่าปกติ 2 - 3 ปอนด์/ตารางนิ้ว
เพื่อป้องกันยางร้อนมากหรือแรงดันลมสูงเกินไปจนระเบิด อาจตรงข้ามกับความคิดผิดๆ
ที่ว่าเมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงและต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและมีแรงดันลม
เพิ่มขึ้น จากหลักการของก๊าซ อากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดันลมเพิ่ม
จึงคิดว่าน่าจะลดแรงดันลมลงจากปกติ ซึ่งผิด เพราะหากมีการลดแรงดันยางลงในขณะที่
เดินทางไกล ยางจะกลับร้อนและมีแรงดันสูงมาก เพราะแก้มยางจะบิดตัวมากจนร้อน
และทำให้แรงดันลมสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว วิธีที่ถูกต้อง คือ เพิ่มแรงดันลมขึ้น 2-3
ปอนด์ เพื่อป้องกันการเปิดตัวของแก้มยางมากจนร้อน เป็นการป้องกันล่วงหน้า เช่น
ยางที่มีแรงดันลม 32 ปอนด์ มากกว่าปกติ 2 ปอนด์ เมื่อเดินทางไกลอาจจะมีแรงดัน
ลมเพิ่มขึ้นจากความร้อนเพียง 2 ปอนด์ แต่ถ้าแรงดันลมเหลือ 28 ปอนด์
ยางจะบิดตัวมากและร้อนมากกว่าอาจมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นถึง 5 - 6 ปอนด์
และก็เป็นลมที่มีความร้อนสูงกว่าการเติมลมแรงดันสูงเผื่อไว้

4.สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร ควรสลับยางพร้อมกระทะล้อหน้า-หลังในแต่ละด้าน
เพื่อให้มีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้นเพราะยางคู่ที่ใส่กับล้อขับเคลื่อนจะมีการสึกหรอ
มากกว่ายางอีกคู่หนึ่ง อย่าลืมดูทิศทางการหมุนและถ่วงล้อใหม่ด้วย แนวทางการสลับยาง
และระยะทางที่เหมาะสม มักทีกำหนดในคู่มือประจำรถยนต์

ถ้าไม่สลับยางแล้วมีการสึกหรอไม่เท่ากัน หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยางครั้งละคู่หรือ 2 ล้อ
เพราะทำให้ต้องเปลี่ยนสลับครั้งละคู่ไปเรื่อยๆเสียเวลาและไม่ถูกต้อง ในการเปลี่ยนยาง
ไม่ควรใช้ยางต่างรุ่นดอกกันในแกนล้อเดียวกันเพราะประสิทธิภาพการเกาะถนนจะแย่ลง
ควรใช้ยางขนาดเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ

5.หมั่นตรวจสอบการสึกหรอของดอกยางนอกจากตรวจสอบความลึกของดอกยางและ
สลับตามระยะทางแล้ว ยังควรหมั่นสังเกตการสึกหรอที่ผิดปกติตลอดหน้ายาง
ซึ่งมีหลายลักษณะ ถ้าหน้ายางสึกเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าศูนย์ล้อผิดปกติ
แต่ถ้ามีการสึกไม่เรียบเสมอกันตลอดหน้ายางหรือสึกเป็นบั้งๆอาจเกิดจากระบบช่วงล่าง
ควรรีบแก้ไข เพราะมีผลต่ออาการทรงตัวของรถด้วย

6.หมดสภาพยางหมดอายุได้ในหลายลักษณะหลัก เช่น ดอกหมด,ไม่เกาะ,เนื้อแข็ง,
โครงสร้างกระด้าง ,แตกปริ ,แตกลายงา ,เสียงดังหรือแก้มยางบวม เกิดขึ้นเพียง
ลักษณะเดียวหรือควบคู่กันก็ถือว่าหมดอายุ ไม่จำเป็นต้องดอกหมดแล้วยางถึงจะหมด
สภาพเสมอไป เพราะความลึกของดอกยางเกี่ยวข้องกับการรีดน้ำ ฝุ่นและโคลนเป็นหลัก
ส่วนประสิทธิภาพการเกาะถนนและการทรงตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งของเนื้อยางและโครง
สร้างภายในยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มแข็งตัวขึ้นทีละนิด แต่จะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อผ่าน
การใช้งานไประยะหนึ่ง (ประมาณ 1 ปีหรือ 20,000 กิโลเมตร)

ตามพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางที่แพ้ความร้อน
เมื่อเนื้อยางแข็ง ดอกยางก็ไม่ค่อยสึกแต่แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนน
จะลดลง หากเปรียบเทียบอัตราการสึกของดอกยางต่อระยะทาง แทบไม่มียางรุ่นไหน
ที่ดอกสึกเร็วขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสึกช้าลงหรือแทบไม่สึกเลย
เมื่อเนื้อยางแข็งกระด้างเต็มที่ ทดสอบง่ายๆโดยใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายางเก่า
เปรียบเทียบกับยางใหม่ๆเนื้อยางเก่ามักแทบจิกไม่ลง

อายุการใช้งานของยางสำหรับเมืองไทย เฉลี่ยประมาณ 3 ปีหรือ 50,000-60,000
กิโลเมตร ก็ถือว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและลักษณะการใช้
งาน ถ้าใช้งานเกินระยะทางข้างต้น ควรพิจารณาอย่างละเอียดว่าสภาพของยางดีหรือไม่
เพราะพบว่ายางรถยนต์หลายรุ่นสามารถใช้งานได้นานกว่านั้น
ควรหลีกเลี่ยงยางเก่าเก็บ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงไปอีก

ข้อควรระวัง
1. ไม่จอดทิ้งไว้นาน รถยนต์ที่ใช้งานน้อย จอดนิ่งอยู่กับที่น้ำหนักของตัวรถทั้งหมด
จะกดลงสู่ยางแต่ละเส้นในจุดเดียว โครงสร้างภายในและแก้มยางจะมีการยืดตัวและ
เสียความหยืดหยุ่น ยิ่งจอดนิ่งนานๆโครงสร้างของยางยิ่งมีโอกาสเสียง่ายขึ้น
ถ้าต้องจอดนานมากทุก 1 สัปดาห์ต้องสตาร์ทเครื่องและนำรถออกไปแล่นอย่างน้อย
2-3 กิโลเมตร หรือเดินหน้าถอยหลัง 5-10 เมตรหลายๆครั้ง
เพื่อให้แก้มยางและโครงสร้างของยางมีการขยับตัว

2. น้ำยาเคลือบ เป็นเรื่องปกติที่คนไทยที่รักสวยรักงาม
น้ำยาเคลือบแก้มยางเพื่อเพิ่มความสวยงาม น้ำยาบางชนิดมีฤทธิ์ต่อเนื้อยาง
ทำให้บวมหรือเปื่อยในระยะยาว ควรเป็นสารประเภทซิลิโคนจะปลอดภัยกว่า

ที่่มา :เว็บ one2Car.com