ซึ่งทำให้บังคับรถยาก ก็เนื่องมาจากมีน้ำไปคั่นอยู่ระหว่างยางกับผิวถนน
รถจึงวิ่งลอยไปบนผิวน้ำแทนที่จะวิ่งบนผิวถนนตั้งแต่ฝนเริ่มตกจนฝนหยุดนั้น
ความต้านทานของการลื่นไถลของถนนจะแตกต่างกันตามรูปกราฟดังนี้
ปกติแล้ว เมื่อฝนเริ่มตกจนถึงประมาณ 10 นาทีแรก ค่าความต้านทานต่อการลื่นไถลจะลดลงต่ำ ถนนจะลื่นมาก
เนื่องจากน้ำฝนที่เริ่มตกลงมาได้ผสมกับฝุ่นผงหรือเศษดินบนถนน ทำให้ผิวถนนเป็นเสมือนโคลน รถจะลื่นไปมา
ดังนั้น ขณะฝนเริ่มตกจึงต้องระมัดระวังในการขับรถเป็นพิเศษ
หลังจากฝนตกไปประมาณ 10 นาที สภาพถนนจะดีขึ้น พวกฝุ่นผงหรือเศษดินจะถูกล้างออกไปด้วยน้ำฝน
ค่าความต้านทานต่อการลื่นไถลจะสูงขึ้น จะเหลือแต่การลื่นไถลจากน้ำฝนบนผิวถนนเท่านั้น
หลังจากนั้นเมื่อฝนหยุดตก และผิวถนนค่อยๆ แห้ง การจับถนนของยางจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ค่าความต้านทานต่อการลื่นไถลของถนนจะกลับสู่สภาพเดิม และจะมีค่าสูงกว่าเดิมเล็กน้อยหลังจากผิวถนนเริ่มแห้ง
สนิทแล้ว เพราะผิวถนนไม่มีพวกฝุ่นหรือเศษดินเลย และหลังจากนั้นก็จะกลับเข้าสู่สภาพถนนแห้งเหมือนเดิม
อันตรายที่เรานึกไม่ถึงก็คือ การลื่นไถลของรถบนผิวน้ำในขณะที่รถวิ่งไปบนถนนเปียกแฉะหรือฝนกำลังตก
เราจะสังเกตว่ามีผิวน้ำคั่นอยู่ระหว่าง หน้ายางกับผิวถนน ความกดดันของน้ำระหว่างยางกับถนนจะทวีขึ้น
เมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นและเมื่อรถวิ่งถึงความเร็วจุดหนึ่งจะเกิดการเหินน้ำขึ้น ซึ่งเรียกว่า
Hydro Planing ตามรูปที่แสดง
ยางรถยนต์จะวิ่งไปบนผิวน้ำแทนที่จะวิ่งบนถนน ดังนั้นยางจะไม่เกาะพื้นถนนเลย รถจะลอยตัวบนผิวน้ำ
พวงมาลัยกับระบบการห้ามล้อใช้การไม่ได้เลย การเหินน้ำนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีหลายสิ่งประกอบกัน คือ
1. ความเร็วของรถ (ถ้ารถยิ่งวิ่งเร็วรถก็จะแฉลบง่าย )
2. ความดันของลมยาง (ถ้ายิ่งสูบลมอ่อน รถก็จะแฉลบง่าย )
3. ความมากน้อยของน้ำบนผิวถนน (ถ้ามีน้ำมาก รถก็จะแฉลบง่าย )
4. สภาพของผิวถนน (ถ้าถนนเรียบมัน รถก็จะแฉลบง่าย )
5. ความเก่า -ใหม่ ของยาง (ถ้ายางยิ่งสึกมาก หรือไม่มีดอก รถก็จะแฉลบง่าย )
จึงขอแนะนำวิธีการขับรถในหน้าฝน หรือขณะฝนตก ดังนี้
1. ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 60 กม./ชม.
2. ควรเพิ่มลมให้มากกว่าปกติประมาณ 3-5 ปอนด์ ซึ่งจะทำให้หน้ายางแข็งและมีกำลังในการตัดน้ำ
3. ตองตรวจสอบสภาพยางรถวาดอกยางมีสภาพสมบูรณหรือไม
เพราะน้ำฝน ฝุนโคลน จะรวมกันกลายเปนฟลมรองรับระหวางยางกับถนน
ถามีโคลนติดลอจะยิ่งเพิ่มความลื่นมากขึ้นทําใหรถเสียการทรงตัวไดงาย
ไม่ควรใช้ยางที่ไม่มีดอก หรือดอกยางสึกเกือบหมดดอกแล้ว
4. ควรเลือกใช้ยางดอกละเอียดและมีร่องยางที่รีดน้ำได้ดี
5. ควรเลือกใช้ยางเรเดียลเส้นลวด
เพราะยางเรเดียลเส้นลวดมีประสิทธิภาพในการเกาะถนน และหยุดได้ดีกว่ายางแบบอื่นๆ
6.การขับรถขณะฝนตกควรใชเกียรและความเร็วต่ํา ซึ่งจะทําใหรถเกาะถนนถนนไดดี
7.หลีกเลี่ยงการเบรกอยางกะทันหันเพราะจะทําใหรถลื่นไถลได
8.ถาฝนตกใหเปดไฟหรี่หรือไฟหนาแลวแตกรณีเพื่อใหมองเห็นไดงาย
9.ถารถเริ่มเสียการทรงตัวหรือไมเกาะถนนอยาตกใจใหยกเทาออกจากคันเรง อยาเบรก
อยาหักพวงมาลัย จับพวงมาลัยใหคงที่และมั่นคง
10.หากตองขับรถลุยน้ำ ถารูตัวลวงหนาใหหายางปูพื้นกันฝุนผูกกันไวที่กระจังหนา
เพื่อกันน้ำไมใหไหลเขาหองเครื่องยนตซึ่งอาจทําใหเครื่องยนตดับได
ทอไอเสียก็สําคัญถาจมอยูใตน้ําจะทําใหเครื่องยนตดับใหหาสายยางมาครอบปลายทอและยกขึ้นไวเหนือน้ำ
ขอยกเวนในการขับรถลุยน้ำคือจําเปนตองเลี้ยงคลัตซไวและเรงเครื่องยนตใหรอบเครื่องยนตสูงกวาปกติเล็กนอย
เพื่อปองกันไมใหเครื่องยนตดับเพราะบางครั้งรถยนตอยูในน้ำนานๆ เครื่องยนตอาจเย็นเกินไป
หรือน้ำกระเซ็นเขาเครื่องยนตทําใหชื้นได
11.การเหยียบคลัตซและเรงเครื่องยนตมากกวาปกติ จะทําใหเครื่องยนตไมดับแตการเลี้ยงคลัตซบอยๆ
น้ำอาจเขาไปทําใหคลัตซลื่นได ควรเลี้ยงคลัตซเมื่อจําเปนเทานั้น
นอกจากการปฏิบัติตามข้อแนะนำในการขับรถขณะฝนตกนี้แล้ว
ใคร่ขอให้ท่านตรวจสภาพรถทั่วๆ ไปให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี เช่น ระบบเบรค,ที่ปัดน้ำฝน,ไฟหน้ารถ
รวมทั้งไฟเลี้ยว และไฟเบรค น้ำล้างกระจกเติมให้เต็มอยู่เสมอ เตรียมผ้าแห้งไว้เช็ดฝ้าภายในรถ
เพราะเมื่อฝนตกหนักๆ อาจจะมีละอองน้ำเป็นฝ้าจับที่กระจกภายในรถ ทำให้มองเห็นไม่ชัด
ไม่ควรขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป เพราะถนนลื่นทำให้รถหยุดลำบาก
ถ้าฝนตกหนักๆ ควรจะเปิดไฟหน้ารถด้วยเพราะรถคันอื่นๆ จะได้มองเห็นรถของท่านได้
การขับรถถ้าไม่ระมัดระวังจะมีอันตรายเสมอ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากผู้ขับรถ,สภาพถนน,สมรรถนะของรถยนต์
และยางรถยนต์เมื่อฝนตกอันตรายจากสิ่งเหล่านี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
ดังนั้น พึงระมัดระวังและตรวจตรารถของท่านให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเมื่อขับรถเวลาฝนตก
ข้อมูล: สํานักงานนิรภัยทหารอากาศฯและบริษัท บริดจสโสน เซลส์(ประเทศไทย)จำกัด