น่าสนใจ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เรียนรู้เทคนิคขับรถเอาตัวรอดยามฉุกเฉิน

เรียนรู้เทคนิคขับรถเอาตัวรอดยามฉุกเฉิน


ขับรถลุยฝนยิ่งเร็วยิ่งเสี่ยงเบรกพรวดมีปัญหา
เป็นคนไทยอยู่เมืองไทย คงจะหนีฤดูฝนอันยาวนานไม่ได้ เชื่อว่าน้อยคนนักที่ชอบการขับขี่รถท่ามกลางสายฝน
เพราะนอกจากทัศนะวิสัยจะไม่ดีแล้ว โอกาสเกิดอุบัติเหตุยังสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณตั้งมั่นอยู่ในความประมาท

หลีกเลี่ยงไม่ได้ยามฝนตกหรือหลังฝนหยุดตกใหม่ ๆ ที่จะมีการขังของน้ำตามจุดต่าง ๆ บนผิวถนน
อุบัติเหตุบนท้องถนนหลายครั้งเกิดจากน้ำขัง
การวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านแอ่งน้ำ จะทำให้เกิดอาการล้อแฉลบหรือเรียกว่าการเหิรน้ำ
ซึ่งจะทำให้รถสูญเสียการทรงตัว ทางเดียวในการแก้ไขก็คือ อย่าตกใจ และต้องไม่กระแทกเบรกลงไปอย่างรุนแรง
โดยให้ทำการควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทางให้ได้มากที่สุด
แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือ การป้องกัน โดยไม่ขับรถเร็วผ่านแอ่งน้ำที่ขังอยู่

การใช้เบรกก็เช่นกัน หากรถคุณไม่มีระบบเบรกเอบีเอส ไม่ควรขับขี่แบบที่ต้องมีการเบรกกระทันหัน
หรือหากจำเป็นควรเบรกแบบกดปล่อยกดปล่อย ซึ่งแน่นอนระยะทางในการเบรกต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
แต่รถคุณก็จะไม่ไถลจนสูญเสียการทรงตัว
และถ้าใครรู้สึกว่าหลังลุยฝนแล้วเบรกลื่น ๆ ก็ให้ย้ำเบรกบ่อย ๆ เพื่อให้ผ้าเบรกร้อนหรือแห้ง



รถดับกลางน้ำท่วมทำยังไงดี
กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเมืองไทย ที่ฝนตกแล้วต้องน้ำท่วม บางครั้งเราต้องขับรถลุยน้ำก้นครึ่งค่อนล้อ
รถสวนน้ำกระเฉาะเข้าห้องเครื่อง แล้วจู่ ๆ เครื่องก็ดับเอาดื้อ ๆ งานนี้จะไปต่อต้องเปียกอย่างเดียวเลยครับ

เหตุที่รถดับเอาดื้อ ๆ ก็เพราะน้ำเข้าไปในเครื่อง จานจ่ายก็เปียกจนหยุดทำงาน
ทางเดียวที่สามารถทำได้เมื่อเครื่องดับก็คือ เข็นรถหลบไปในที่แห้ง ๆ ข้างทาง
ใช้ผ้าแห้งซับที่คอยล์ และจานจ่ายให้แห้ง ให้มั่นใจนะครับว่าแห้งดีแล้ว ลองสตาร์ทดูใหม่อีกครั้ง
แต่ถ้าไม่ติดก็คงต้องพึ่งบริการรถลากกันล่ะครับ
ส่วนทางป้องกันง่ายที่สุดก็คือ หลบเลี่ยงเส้นทางที่น้ำท่วมขัง
หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อาจหาถุงพลาสติกมาครอบจานจ่าย เพื่อไม่ให้น้ำเล็ดลอดเข้าไปได้



วิ่ง ๆ อยู่รถดับใจเย็น ๆ อย่าตกใจ
กรณีนี้ก็มีให้เห็นกันบ่อย วิ่ง ๆ อยู่เครื่องยนต์เกิดดับเอาดื้อ ๆ อันดับแรกอย่าเพิ่งตกใจหรือสงสัยอะไรนะครับ
คิดเสียว่าของมันเป็นกันได้ รีบเหยียบคลัทช์ค้างเอาไว้
ส่วนเกียร์อัตโนมัติให้เลื่อนมาที่ตำแหน่ง N เพื่อปลดเฟืองเกียร์ เพราะเกียร์อาจพังได้
จากนั้นค่อย ๆ เหยียบเบรก ขอเน้นนะครับว่าค่อย ๆ เหยียบ หากแกระแทกไปทีเดียวเต็ม ๆ ได้หัวทิ่มกันแน่
และอย่าลืมเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อให้สัญญาณรถคันอื่นว่าเรามีปัญหา
ค่อย ๆ ควบคุมพวงมาลัยนำรถเข้าจอดหลบข้างทาง

จอดรถสนิทแล้ว ก็ลองสตาร์ทดูอีกครั้ง ถ้าติดก็แล้วไป
แต่ถ้าไม่ติด รถเกียร์ธรรมดาคงต้องหาคนมาช่วยเพื่อเข็นสตาร์ท
(เข้าเกียร์แนะนำว่าให้เป็นกียร์ 2หรือ3 – เหยียบคลัทช์ ใ ห้คนเข็น ความเร็วพอเหมาะปล่อยคลัทช์เหยียบคันเร่ง
สำหรับเกียร์อัตโนมัติใช้วิธีนี้ไม่ได้)
ถ้ายังไม่ติดอีก ก็ลองเปิดฝากระโปรงหน้าเช็คขั้วและสายไฟแบตเตอรี่ว่าแน่นหรือไม่ ขยับหัวเทียน
เช็คคอยล์และจานจ่ายว่ามีน้ำขังหรือซึมหรือไม่ ลองสตาร์ทใหม่ ถ้ายังไม่ติดอีก หาเบอร์โทรช่างล่ะครับทีนี้



เครื่องร้อนจัดโอเวอร์ฮีต
ไม่ว่าจะเป็นเพราะหม้อน้ำพร่อง ระบบระบายอากาศรถบางรุ่นที่ไม่เหมาะสมกับเมืองไทย
เมื่อเข็มอุณหภูมิบนหน้าปัดสูงผิดปกติ จนใกล้หรือเข้าขีดแดง หรือมีอาการเครื่องยนต์กำลังตก นั่นก็คือ
เครื่องยนต์รถของคุณกำลังร้อนจัด รีบปิดแอร์-วิทยุ เปิดกระจก ดูอาการสักพักว่าเป็นอย่างไร
ความร้อนลดลงหรือไม่ แต่ถ้าร้อนจัดจนไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ ทีนี้ก็ต้องชะลอรถจอดอย่างเดียว
อย่าลืมปิดแอร์-วิทยุเช่นกัน เมื่อรถจอดสนิทปลดเกียร์ว่าง ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาสักครู่จึงดับเครื่อง

อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดฝากระโปรงหน้า เพราะไอน้ำนั่นร้อนสุด ๆ รอให้ไอน้ำหยุดพุ่งหรือหมดไปก่อน
เปิดฝากระโปรงแล้วก็อย่าเพิ่งเปิดฝาหม้อน้ำ หากรีบเปิดน้ำในหม้อน้ำพุ่งทะลักออกมาลวกได้
ต้องรอให้หม้อน้ำเย็นก่อน ซึ่งอาจใช้น้ำค่อย ๆ ราดรดหม้อน้ำก็ได้ เพื่อให้เย็นเร็ว ๆ จากนั้นก็เปิดฝาเติมหม้อน้ำ
ถ้ายังไม่หายโอเวอร์ฮีตอีกก็ต้องเข้าศูนย์กันล่ะครับ หรือถ้าหายก็ควรให้ช่างตรวจเช็คหลังจากนี้เพื่อความแน่ใจ

ส่วนกรณีเบรกแตก ก็ต้องอาศัยความใจเย็นอีกเช่นกัน ลองกระทืบเบรกซ้ำ
ไม่ได้ผลให้ลดระดับเกียร์ลงมาที่ละขั้น เพื่อให้เอนจิ้นเบรก เมื่อรถชะลอแล้วค่อย ๆ ดึงเบรกมือในการช่วยหยุด

ที่มา สว่างแสงธรรม กู้ภัย 01