ฉบับนี้ ผู้เขียนเองได้รับคำบอกเล่าจากน้องสาวของผู้เขียนหลังจากที่เธอได้ขับรถติดต่อกัน 5 ชั่วโมง
ว่าน่าจะแนะนำการลดอาการปวดที่เกิดขึ้น เพราะแม้ว่าจะปรับเบาะและทุกสิ่งดีแล้ว
แต่ถ้ายังต้องขับรถนานๆ ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยอย่างแน่นอน
อาการปวดเมื่อย และวิธีการบรรเทาอาการเบื้องต้น
ทั่วๆไปแล้ว อาการปวดบ่า กระบอกตา คอ หลัง หน้าขา (สะโพก) และน่อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย
เรามาลองดูสาเหตุและการบรรเทาอาการเหล่านี้กัน
เมื่อขับรถต้องใช้สายตามาก ไม่สามารถพักสายตาได้ ต้องเพ่งและมองไปข้างหน้าตลอด
ถ้าหากแสงแดดจ้าก็จะทำให้ตาต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการเพ่งสายตามีผลต่อท่าทางของคอ คือ
คอต้องตั้งตรงนานๆ ย่อมมีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อคอ ทำให้กล้ามเนื้อคอทำงานหนักและเกิดอาการล้าได้
การเมื่อยล้าของคอ ส่งผลต่อการบีบรัดเส้นประสาท
โดยเฉพาะที่ฐานกะโหลกด้านหลัง ทำให้ปวดศีรษะและกระบอกตาได้
วิธีการแก้ไขปัญหาปวดกระบอกตาและล้าของตา คือ
ต้องใส่แว่นปรับสายตาหากมีปัญหาเรื่องสายตาสั้นหรือยาว จะทำให้ลดการเพ่งในขณะขับรถ
และหากขับรถในเวลาที่แดดจัด ควรใช้แว่นกันแดด เพื่อลดปริมาณแสงที่อาจทำให้ม่านตาทำงานหนักได้
ขณะที่พักรถ หรือช่วงติดไฟแดง
อาจใช้เวลาเล็กน้อยที่จะมองไปยังต้นไม้ที่มีสีเขียว หรือหลับตาพักสายตาสักครู่
และหากเป็นไปได้ การนวดบริเวณต้นคอและบ่า 2 ข้าง จะสามารถลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
ส่งผลให้ความรู้สึกล้าลดลงได้
ในขณะขับรถ กล้ามเนื้อบ่าจะทำงานเพื่อยกบ่าและแขนในการควบคุมพวงมาลัย
หากการจับพวงมาลัยห่างจากตัวมาก จะมีผลทำให้ต้องเอื้อมมือ ยืดแขนไปข้างหน้า
กล้ามเนื้อบ่าและไหล่จึงทำงานมากขึ้นอีก และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อบ่า
และเกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้ในที่สุด ซึ่งสามารถตรวจได้โดยการคลำกล้ามเนื้อนั้นๆ
จะพบลำหรือปมแข็งในกล้ามเนื้อ เมื่อกดก็จะมีอาการเจ็บและร้าวได้
ดังนั้น การปรับระยะและความสูงของพวงมาลัยเป็นสิ่งที่สำคัญ
แต่ต้องเข้าใจว่า ในขณะขับต้องทิ้งน้ำหนักแขนส่วนหนึ่งไว้ที่พวงมาลัย ไม่เกร็งแขนและไหล่ตลอด
การเกร็งและยกแขนนี้ อาจทำให้การควบคุมพวงมาลัย ทำได้ยากกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดอาการตึงและปวดเมื่อยบ่านี้ได้ โดย
การหมุนไหล่แบบกายบริหารของเด็กๆ ที่หมุนไหล่มาข้างหน้าและย้อนกลับหลัง
โดยทำเมื่อหยุดพัก หรือหากเมื่อยในขณะขับรถท่านสามารถทำการแบะไหล่ไปด้านหลัง และแอ่นตัวมาข้างหน้า
หรือทำการหมุนไหล่ข้างเดียวได้ โดยพิจารณาถึงความปลอดภัยในขณะขับขี่เป็นหลัก
สำหรับอาการปวดเมื่อยหลัง เกิดขึ้นได้
เนื่องจาก ท่านั่งเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังมีแรงกดมากกว่าท่าอื่นๆ แม้ว่าจะมีเบาะพนักพิงก็ตาม
แต่หลังที่อยู่ในลักษณะโค้งงอ ย่อมส่งผลต่อแรงดันในหมอนรองกระดูกสันหลัง
โดยมีแรงกดด้านหน้าหมอนรองกระดูกมากกว่าด้านหลัง หมอนรองกระดูกจึงมีแนวโน้มที่จะปลิ้นไปทางด้านหลัง
และอาจเกิดปัญหาของหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้
เอ็นและกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหลังจะถูกยืดมากกว่าเมื่อหลังอยู่ในท่าตรง
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำเมื่อพักรถคือ ค่อยๆ ลงจากรถ ไม่ลุกแบบพรวดพราด
และก่อนจะลุกขึ้น ควรทำการยืดตัวและแอ่นหลังประมาณ 3-4 ครั้งก่อน แล้วค่อยลุกขึ้น
และเมื่อลุกขึ้นแล้ว ควรทำการยืดหลังและแอ่นหลังในขณะท่ายืนอีก 10 ครั้ง
แล้วถึงจะทำการก้มหลังหรือใช้งานหลังได้ตามปกติ
เหตุที่ให้ทำเช่นนี้ เพราะว่าเอ็นที่อยู่ด้านหลังเมื่อนั่งนานๆ จะล้า ขาดความยืดหยุ่นตัว
และถ้าก้มบิดตัว หรือใช้งานหลังหนักๆ (เช่น การยกของหนัก)
การก้มขณะที่จะลุกจากรถ อาจมีผลต่อการเคลื่อนหรือปลิ้นตัวของหมอนรองกระดูกสันหลังได้
หากเกิดอาการปวดเมื่อยล้าหลัง ขณะขับรถ
คุณสามารถนำหมอนเล็กๆ สอดไว้ที่หลังส่วนล่างระหว่างเบาะกับหลังของคุณ
เพื่อให้หมอนเป็นตัวดันให้หลังแอ่นตัวเล็กน้อย
แต่ไม่ควรนั่งพิงหมอนนั้นตลอด เพราะจะเกิดความล้าต่อหลังได้เช่นกัน
การขับรถเกียร์อัตโนมัติ
ความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อหน้าขาและน่อง เกิดได้จากการที่ต้องขยับขา เพื่อการเหยียบเบรกและคันเร่ง
ขณะที่ถ้าขับรถเกียร์ธรรมดา จะมีอาการเมื่อยล้าขาซ้ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเหยียบคลัตช์
การแก้ไขหรือลดอาการปวดขณะขับรถสามารถทำได้ โดยการหมุนข้อเท้าจิกปลายเท้า กระดกปลายเท้าขึ้น
เหยียดปลายเท้าลงให้สุด โดยสามารถทำกับเท้าข้างซ้ายข้างเดียวในขณะขับรถ
และหากเมื่อหยุดพักแล้วคุณสามารถทำการหมุนหรือดัดต่อเท้าข้างขวา รวมทั้งทำการยืดกล้ามเนื้อหน้าขาได้
การยืดกล้ามเนื้อหน้าขาทำได้โดยยืนแล้วพับเข่าไปด้านหลังโดยเอามือช่วยจับเข่างอเข้ามายังก้น
อย่างไรก็ตาม การขยับเขยื้อน ออกกำลังกายแบบนี้เป็นการบรรเทาอาการเท่านั้น
และหากทำขณะขับรถให้คำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่เป็นหลักด้วย
สิ่งที่จะต้องทำที่สุดคือ การหยุดพักบ่อยๆ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ล้างหน้าล้างตา
และทำการออกกำลังกายตามที่ได้กล่าวมา
หรือทำการบิดขี้เกียจก็ได้ในลักษณะเหมือนการบิดขี้เกียจตอนเช้าก่อนลุกขึ้นมาอาบน้ำ
และเมื่อถึงที่หมายแล้ว ควรทำการนอนยกขาสูง โดยการนอนราบกับพื้นแล้วทำการยกขาแบบงอเข่าเล็กน้อย
พาดกับเก้าอี้หรือโซฟา เพื่อให้เลือดไหลและน้ำเหลืองไหลกลับได้ง่ายขึ้น
และทำให้หลังได้พักตัวลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลังได้
ขณะที่นอนนั้น คุณอาจใช้ผ้าเย็นประคบที่บ่าหรือคอ เพื่อช่วยลดอาการตึงบริเวณฐานคอได้อีกด้วย
ที่มา หมอชาวบ้าน
ว่าน่าจะแนะนำการลดอาการปวดที่เกิดขึ้น เพราะแม้ว่าจะปรับเบาะและทุกสิ่งดีแล้ว
แต่ถ้ายังต้องขับรถนานๆ ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยอย่างแน่นอน
อาการปวดเมื่อย และวิธีการบรรเทาอาการเบื้องต้น
ทั่วๆไปแล้ว อาการปวดบ่า กระบอกตา คอ หลัง หน้าขา (สะโพก) และน่อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย
เรามาลองดูสาเหตุและการบรรเทาอาการเหล่านี้กัน
เมื่อขับรถต้องใช้สายตามาก ไม่สามารถพักสายตาได้ ต้องเพ่งและมองไปข้างหน้าตลอด
ถ้าหากแสงแดดจ้าก็จะทำให้ตาต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการเพ่งสายตามีผลต่อท่าทางของคอ คือ
คอต้องตั้งตรงนานๆ ย่อมมีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อคอ ทำให้กล้ามเนื้อคอทำงานหนักและเกิดอาการล้าได้
การเมื่อยล้าของคอ ส่งผลต่อการบีบรัดเส้นประสาท
โดยเฉพาะที่ฐานกะโหลกด้านหลัง ทำให้ปวดศีรษะและกระบอกตาได้
วิธีการแก้ไขปัญหาปวดกระบอกตาและล้าของตา คือ
ต้องใส่แว่นปรับสายตาหากมีปัญหาเรื่องสายตาสั้นหรือยาว จะทำให้ลดการเพ่งในขณะขับรถ
และหากขับรถในเวลาที่แดดจัด ควรใช้แว่นกันแดด เพื่อลดปริมาณแสงที่อาจทำให้ม่านตาทำงานหนักได้
ขณะที่พักรถ หรือช่วงติดไฟแดง
อาจใช้เวลาเล็กน้อยที่จะมองไปยังต้นไม้ที่มีสีเขียว หรือหลับตาพักสายตาสักครู่
และหากเป็นไปได้ การนวดบริเวณต้นคอและบ่า 2 ข้าง จะสามารถลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น
ส่งผลให้ความรู้สึกล้าลดลงได้
ในขณะขับรถ กล้ามเนื้อบ่าจะทำงานเพื่อยกบ่าและแขนในการควบคุมพวงมาลัย
หากการจับพวงมาลัยห่างจากตัวมาก จะมีผลทำให้ต้องเอื้อมมือ ยืดแขนไปข้างหน้า
กล้ามเนื้อบ่าและไหล่จึงทำงานมากขึ้นอีก และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อบ่า
และเกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้ในที่สุด ซึ่งสามารถตรวจได้โดยการคลำกล้ามเนื้อนั้นๆ
จะพบลำหรือปมแข็งในกล้ามเนื้อ เมื่อกดก็จะมีอาการเจ็บและร้าวได้
ดังนั้น การปรับระยะและความสูงของพวงมาลัยเป็นสิ่งที่สำคัญ
แต่ต้องเข้าใจว่า ในขณะขับต้องทิ้งน้ำหนักแขนส่วนหนึ่งไว้ที่พวงมาลัย ไม่เกร็งแขนและไหล่ตลอด
การเกร็งและยกแขนนี้ อาจทำให้การควบคุมพวงมาลัย ทำได้ยากกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดอาการตึงและปวดเมื่อยบ่านี้ได้ โดย
การหมุนไหล่แบบกายบริหารของเด็กๆ ที่หมุนไหล่มาข้างหน้าและย้อนกลับหลัง
โดยทำเมื่อหยุดพัก หรือหากเมื่อยในขณะขับรถท่านสามารถทำการแบะไหล่ไปด้านหลัง และแอ่นตัวมาข้างหน้า
หรือทำการหมุนไหล่ข้างเดียวได้ โดยพิจารณาถึงความปลอดภัยในขณะขับขี่เป็นหลัก
สำหรับอาการปวดเมื่อยหลัง เกิดขึ้นได้
เนื่องจาก ท่านั่งเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังมีแรงกดมากกว่าท่าอื่นๆ แม้ว่าจะมีเบาะพนักพิงก็ตาม
แต่หลังที่อยู่ในลักษณะโค้งงอ ย่อมส่งผลต่อแรงดันในหมอนรองกระดูกสันหลัง
โดยมีแรงกดด้านหน้าหมอนรองกระดูกมากกว่าด้านหลัง หมอนรองกระดูกจึงมีแนวโน้มที่จะปลิ้นไปทางด้านหลัง
และอาจเกิดปัญหาของหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้
เอ็นและกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหลังจะถูกยืดมากกว่าเมื่อหลังอยู่ในท่าตรง
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำเมื่อพักรถคือ ค่อยๆ ลงจากรถ ไม่ลุกแบบพรวดพราด
และก่อนจะลุกขึ้น ควรทำการยืดตัวและแอ่นหลังประมาณ 3-4 ครั้งก่อน แล้วค่อยลุกขึ้น
และเมื่อลุกขึ้นแล้ว ควรทำการยืดหลังและแอ่นหลังในขณะท่ายืนอีก 10 ครั้ง
แล้วถึงจะทำการก้มหลังหรือใช้งานหลังได้ตามปกติ
เหตุที่ให้ทำเช่นนี้ เพราะว่าเอ็นที่อยู่ด้านหลังเมื่อนั่งนานๆ จะล้า ขาดความยืดหยุ่นตัว
และถ้าก้มบิดตัว หรือใช้งานหลังหนักๆ (เช่น การยกของหนัก)
การก้มขณะที่จะลุกจากรถ อาจมีผลต่อการเคลื่อนหรือปลิ้นตัวของหมอนรองกระดูกสันหลังได้
หากเกิดอาการปวดเมื่อยล้าหลัง ขณะขับรถ
คุณสามารถนำหมอนเล็กๆ สอดไว้ที่หลังส่วนล่างระหว่างเบาะกับหลังของคุณ
เพื่อให้หมอนเป็นตัวดันให้หลังแอ่นตัวเล็กน้อย
แต่ไม่ควรนั่งพิงหมอนนั้นตลอด เพราะจะเกิดความล้าต่อหลังได้เช่นกัน
การขับรถเกียร์อัตโนมัติ
ความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อหน้าขาและน่อง เกิดได้จากการที่ต้องขยับขา เพื่อการเหยียบเบรกและคันเร่ง
ขณะที่ถ้าขับรถเกียร์ธรรมดา จะมีอาการเมื่อยล้าขาซ้ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเหยียบคลัตช์
การแก้ไขหรือลดอาการปวดขณะขับรถสามารถทำได้ โดยการหมุนข้อเท้าจิกปลายเท้า กระดกปลายเท้าขึ้น
เหยียดปลายเท้าลงให้สุด โดยสามารถทำกับเท้าข้างซ้ายข้างเดียวในขณะขับรถ
และหากเมื่อหยุดพักแล้วคุณสามารถทำการหมุนหรือดัดต่อเท้าข้างขวา รวมทั้งทำการยืดกล้ามเนื้อหน้าขาได้
การยืดกล้ามเนื้อหน้าขาทำได้โดยยืนแล้วพับเข่าไปด้านหลังโดยเอามือช่วยจับเข่างอเข้ามายังก้น
อย่างไรก็ตาม การขยับเขยื้อน ออกกำลังกายแบบนี้เป็นการบรรเทาอาการเท่านั้น
และหากทำขณะขับรถให้คำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่เป็นหลักด้วย
สิ่งที่จะต้องทำที่สุดคือ การหยุดพักบ่อยๆ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ล้างหน้าล้างตา
และทำการออกกำลังกายตามที่ได้กล่าวมา
หรือทำการบิดขี้เกียจก็ได้ในลักษณะเหมือนการบิดขี้เกียจตอนเช้าก่อนลุกขึ้นมาอาบน้ำ
และเมื่อถึงที่หมายแล้ว ควรทำการนอนยกขาสูง โดยการนอนราบกับพื้นแล้วทำการยกขาแบบงอเข่าเล็กน้อย
พาดกับเก้าอี้หรือโซฟา เพื่อให้เลือดไหลและน้ำเหลืองไหลกลับได้ง่ายขึ้น
และทำให้หลังได้พักตัวลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลังได้
ขณะที่นอนนั้น คุณอาจใช้ผ้าเย็นประคบที่บ่าหรือคอ เพื่อช่วยลดอาการตึงบริเวณฐานคอได้อีกด้วย
ที่มา หมอชาวบ้าน