น่าสนใจ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โภชนาฯ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โภชนาฯ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

ข่าวกัมมันตรังสี

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 17 มีนาคม 2554 00:01 น.

ASTVผู้จัดการรายวัน - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และพระวรชายาฯ พระราชทานผ้าห่มกันหนาวมอบผู้ประสบภัยญี่ปุ่น fด้านการบินไทยเตรียมแผนสำรอง จับตากัมมันตภาพรังสีแพร่กระจายเกินระดับ 100 กิโลเมตร เปลี่ยนจุดบินหนี ส่วน สธ.เตรียมตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ประจำสุวรรณภูมิ ตรวจสุขภาพคนไทยที่กลับจากญี่ปุ่น อย.ลุยตรวจสินค้านำเข้า สั่งจนท.เช็กอาหารจาก “เกาหลี-ไต้หวัน-จีน” หวั่นปนเปื้อนกัมมันตรังสี กต.ยังติดต่อคนไทยอีก 200 คนในเซนไดไม่ได้
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรรงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ท.ภักดี แสงชูโต รองหัวหน้าสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ฯ เป็นผู้แทนพระองค์ฯ นำผ้าห่มกันหนาวพระราชทาน จำนวน 20,000 ผืน เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้รับมอบ และนายเซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าร่วมในพิธีด้วย
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยยังคงให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ-ญี่ปุ่นตามปกติ โดยมีแผนสำรองกรณีสารกัมมันตภาพรังสีมีการแพร่กระจายรัศมีเกินกว่า 100 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมา การบินไทยจะหยุดทำการบิน ที่ท่าอากาศยานนาริตะและฮาเนดะ โดยจะเปลี่ยนเส้นทางบินไปลงที่สนามบินคันไซ โอซาก้าและนาโกย่าแทน
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การบินไทยไม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าโดยสารเส้นทางญี่ปุ่นแน่นอน และราคาไม่ได้แพงตามที่มีความกังวล โดยขณะนี้เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ตั๋วของการบินไทย จากนาริตะ- กรุงเทพฯ ราคาเพียง 13,000 บาท/คน/เที่ยว ซึ่งเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนาริตะและฮาเนดะ ของการบินไทยมีวันละ 3 เที่ยวบินและ 1 เที่ยวบินตามลำดับ มีที่ว่างเหลือจำนวนมากบางเที่ยวบินว่างถึง100 ที่นั่งซึ่งสาเหตุเกิดจากปัญหาการสื่อสารและการเดินทางมายังสนามบิน
ด้านนายปานฑิต ชนะภัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการพาณิชย์ การบินไทย กล่าวว่า การบินไทยต้องติดตามการประกาศเตือนภัยการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีของการทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 4 ซึ่งมีการแพร่กระจายรัศมี 20 กิโลเมตร แต่หากปรับเพิ่มระดับการเตือนขึ้นไปที่ระดับ 5 จะหยุดบินในเส้นทางญี่ปุ่นทันที
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติกรณีญี่ปุ่น ด้านการแพทย์และสาธารณสุขว่าขณะนี้การตรวจสอบอาหารที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ได้ร่วมมือกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สามารถตรวจรังสีได้ และได้มีการหารือร่วมกันในการกำหนดแนวทางที่จะสุ่มตรวจอาหาร เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยจะสุ่มตรวจเฉพาะอาหารที่มาจากพื้นที่เสี่ยงและนำเข้ามาหลังจากวันที่มีเหตุการณ์เตาปฏิกรณ์ปรมาณูระเบิดเป็นหลัก
**สั่ง อภ.ผลิตไอโอดีนเม็ดแจกฟรี
นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการผลิตไอโอดีนเม็ดเพื่อสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็น ได้มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ดำเนินการผลิตไอโอดีนเม็ด สำหรับใช้ป้องกันผลกระทบจากรังสี ในเบื้องต้นจะผลิต 15,000 เม็ด โดยมอบให้กรมควบคุมโรคเปิดจุดให้บริการแจกฟรีตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.นี้ ที่สนามบินที่มีเที่ยวบินเดินทางจากไทยไปญี่ปุ่น แต่จะมีการคัดกรองเบื้องต้นก่อน โดยจะแจกให้เฉพาะผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงที่ประเทศญี่ปุ่น คือพื้นที่ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียวขึ้นไป และขอแนะนำว่าหากไม่จำเป็นไม่ควรเดินทางไปในพื้นที่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นในขณะนี้ แต่หากมีความจำเป็นก็ให้รับไอโอดีนเม็ดไป
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า อภ.สามารถผลิตยาเม็ดโปแตสเซียมไอโอไดด์(Protassium Lodide) หรือ ไอโอดีนเม็ด ซึ่งยาชนิดนี้มีสรรพคุณในการช่วยลดการดูดซึมสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกาย ในล็อตแรกผลิต15,000 เม็ด โดยแบ่งเป็น2ขนาด คือ ขนาด65 มิลลิกรัม สำหรับเด็กและผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย จำนวน5,000เม็ด ขนาด130 มิลลิกรัมสำหรับผู้ใหญ่จำนวน10,000เม็ด และสามารถจัดส่งไปยังสนามบินเป้าหมายทั้ง3แห่ง คือ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินเชียงใหม่ สนามบินภูเก็ต ทั้งนี้ อภ.มีกำลังผลิตและความพร้อมในการผลิตจำนวนมากถึง 100,000 เม็ดต่อวัน
**ตรวจสุขภาพคนไทยที่กลับจากญี่ปุ่น
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดประทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สำหรับผู้ที่จะเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทย สธ.จะตั้งหน่วยแพทย์ขนาดเล็กภายในสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนกับผู้ที่เดินทางจากญี่ปุ่นด้วย ทั้งนี้จะมีการแจกแบบสอบถามให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาตรวจสอบตัวเอง หากรู้ว่าตัวเองมาจากพื้นที่เสี่ยง ขอให้ติดต่อ รพ.ราชวิถี หรือ รพ.นพรัตนราชธานี เพื่อตรวจหาสารกัมมันตรังสีในร่างกายและรับยา รวมทั้งขณะนี้ได้สั่งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ผลิตยาสำหรับช่วยเหลือผู้มีปัญหาสุขภาพแล้ว
**อย.สุ่มตรวจอาหารญี่ปุ่น-เกาหลี-จีน”
นางเพียงฤทัย เสารัมณี ผู้อำนวยการกอง พัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ที่อาคารตรวจสอบสินค้าขาเข้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่า ส่วนใหญ่สินค้าที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นที่เป็นอาหารสดที่พบบ่อย คือ ผลไม้ เช่น สตรอเบอร์รี มันเทศ เมลอน อาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอน หอยเชลล์ หอยเม่น โดยสินค้าประเภทอาหารสดมีปริมาณการนำเข้าที่ไม่สูงนัก และมีแหล่งจำหน่ายให้กับชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทย และภัตตาคารเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาหารแช่แข็งที่นำเข้าบ่อยสำหรับภัตตาคารย่านสุขุมวิท ทองหล่อ ซึ่งมีราคาแพง ทั้งนี้นอกจากจะตรวจอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่นแล้ว ด่านฯ อาจต้องพิจารณาอาหารจากประเทศใกล้เคียงด้วย เนื่องจากอาจจะได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตรังสี เช่น อาหารจากประเทศเกาหลี ไต้หวัน จีน โดยเฉพาะด้านเซี่ยงไฮ้ ซึ่งใกล้กับญี่ปุ่น ซึ่งการตรวจจะดำเนินการไปจนกว่าจะมีการรับรอง จากประเทศต้นทางว่าได้มีการตรวจสอบสภาพแวดล้อมว่ามีความปลอดภัยหรือไม่
**อาหารญี่ปุ่นย่านสุขุมวิทปิด
เหตุสั่งวัตถุดิบไม่ได้น.ส.สุภาภรณ์ อำนวยกิจ หัวหน้าด่านอาหารและยาคลังสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า สำหรับอาหารที่ทำการสุ่มตรวจในวันแรกที่เริ่มมาตรการตรวจหาสารกัมมันตรังสีเป็นอาหารสดซึ่งส่งมาจากโตเกียว ตามปกติด่านอาหารและยาที่สุวรรณภูมิจะมีอาหารสดนำเข้าเกือบทุกวัน และมีมาตรการสุ่มตรวจหาสารตกค้างอยู่แล้ว แต่จากกรณีดังกล่าวจะนำตัวอย่างของสินค้าทุกล็อตที่นำเข้าส่งให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) และจะใช้เวลาให้เร็วที่สุด เบื้องต้นคาดว่าตัวอย่างชิ้นละ 3 ชม. โดยผู้ประกอบการจะยังไม่สามารถนำสินค้าที่นำเข้าไปขายได้ จนกว่าการตรวจวิเคราะห์จะเสร็จสิ้น แต่จะให้นำสินค้าไปเก็บไว้ที่บริษัทเพื่อรอผลตรวจก่อน สำหรับสินค้าในวันนี้ มีปลาฮามาจิ 60 กิโลกรัม ปลาทูน่า 39.2 กก.นางสรัลรักษ์ นุ่มมาก ผู้แทนนำเข้าสินค้า กล่าวว่า ปกติจะสั่งอาหารสดจากประเทศญี่ปุ่นวันเว้นวัน เพื่อนำส่งภัตตาคารย่านทองหล่อ และสุขุมวิท แต่หลังเกิดเหตุการณ์ทำให้ ต้องปิดกิจการเป็นเวลา 5 วันแล้ว เนื่องจากไม่สามารถสั่งอาหารจากประเทศญี่ปุ่นได้ ส่วนในอนาคตหากมีการปนเปื้อนจริงก็มีความกังวลว่าอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน
**แรงงานไทยขอออกจากเซนไดอีก 7 ราย
นายกมล สวัสดิ์ชูแก้ว อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานไทยในประเทศญี่ปุ่น (สนร.ญี่ปุ่น) กล่าวว่า เอกอัครราชทูตฯแจ้งให้ทราบว่า หากมีคนงานต้องการเดินทางกลับประเทศไทยและไม่มีเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ทาง สอท. ณ กรุงโตเกียว พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ นางเมทิกา สัตตานุสรณ์ ที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สนร.ญี่ปุ่น ซึ่งร่วมเดินทางไปกับคณะของ สอท. รายงานว่ามีคนงานไทย 7 คน ที่เมืองเซนได จ.มิยากิ แจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทยคือนายอัฑฒ์ พลสมัคร, นางนัยนา พลสมัคร, นายทองดี คำดีเชียง, นายยงยุทธ ยศสมบัติ, นายพิทักษ์ บุญกลาง และนายวิษณุ เทียบถึง
**ยังติดต่อคนไทยอีก200คนไม่ได้
ด้านนายกษิต ภิรมย์ กล่าวชี้แจงถึงตัวเลขคนไทยในญี่ปุ่นว่า ที่จุดเซนไดจะมีคนไทยประมาณ 300 คน ได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้วอยู่ที่โตเกียว 70 คนและอีก 40 คนจะเดินทางกลับมาในคืนวันที่16 มี.ค.เหลืออีกประมาณ 200 คนที่ยังติดต่อไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ยังมีปัญหาเรื่องการติดต่อด้านโทรคมนาคม แต่เรามีเครือข่ายร่วมกับชุมนุมคนไทยในพื้นที่ ซึ่งกำลังช่วยกันทั้งสำนักงานแรงงาน และสำนักงาน กพ. ที่ดูแลนักเรียนอยู่
ส่วนปัญหาค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับไทยแพงเกินเหตุนั้น นายกษิต กล่าวว่า คงไม่จริง เพราะคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากไม่มีเงินเราก็ส่งกลับ ค่าใช้จ่ายระยะแรกไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันเราได้ตกลงราคาพิเศษสุดกับประธานการบินไทยแล้ว
**ดาราไทยขายของ ช่วยญี่ปุ่น
วันเดียวกัน ที่ลาน พาร์ค พารากอน มีการจัดงานของเหล่าดารา และศิลปินนำโดย กาละแมร์ จัดงานขายเสื้อยืดโดยรายได้ทั้งหมดส่งไปช่วยผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งถือกล่องรับบริจาคเงิน โดยมีศิลปิดาราเข้าร่วมมากมาย เช่น โจอี้บอย ,จ๋า ยศสินี , โดมปกรณ์ลัมภ์ , บอย ปกรณ์ และอีกมากมาย ซึ่งดารา-ศิลปินเหล่านี้จะมีการถือกล่องรับบริจาคเงินไปตามสถานที BTS และ MRT สถานีต่างๆ ด้วย
ขณะที่บรรยากาศของงานมีประชาชนต่อคิวเพื่อซื้อเสื้อและบริจาคเงิน จนทำให้เสื้อยืดถูกขายหมดภายในครึ่งชั่วโมง แสดงถึงน้ำใจของคนไทยที่พร้อมให้ความช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก.

ช่วงนี้ทานอาหารญี่ปุ่นระวังหน่อยนะครับ

อ่านต่อ..

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถนอมตาสวย ด้วยวิถีธรรมชาติ

เมื่อพูดถึงการดูแลผิว ไม่ว่าผิวส่วนไหน ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องเกี่ยวพันกับสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ผิวรอบดวงตา ที่เมื่อใดที่เราเริ่มมีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดอาการ ธาตุไฟไม่สมดุล ผิวบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อนเลยทีเดียว
อาการธาตุไฟไม่สมดุลนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย โดยสิ่งกระตุ้นจากอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา รวมไปทั้งปัจจัยความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้บริเวณรอบๆดวงตาเป็นรอยหมองคล้ำและบวมแดง เห็นได้ชัดกว่าผิวบริเวณอื่น เพราะผิวส่วนนี้มีความละเอียดอ่อนและบอบบางมากกว่าผิวบริเวณอื่นๆ และยังเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายยังไวต่อการร่วงโรยเป็นพิเศษซะอีกด้วย และบางที การที่คุณทำความสะอาดผิวหรือเมคอัพรอบดวงตาอย่างไม่ระวัดระวังหรือหนักมือเกินไป ก็เป็นการทำร้ายผิวได้พอๆกัน
ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลรอบดวงตาโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังต้องพึ่งการดูแลด้วยธรรมชาติควบคู่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งในเรื่องนี้ นายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ออริจินส์ มาให้คำแนะนำถึงในการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตา โดยเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพโดยผสมผสานเอาวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วย ผมคิดว่า แนวความคิดในเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการผสมสานวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วยนั้น มีข้อเด่นคือ คุณเป็นผู้กุมบังเหียนสุขภาพของตัวเองไว้ในมือ คุณจะรู้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งที่คุณกินหรือทำนั้น ก่อผลต่อสุขภาพอย่างไร
         วิธีการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตาที่คุณหมอแนะนำ ก็มีอยู่หลายข้อทีเดียวค่ะ ซึ่งเราสามารถนำไปปฏิบัติกับตัวเองได้อย่างง่ายๆ


หัวข้อ
เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ให้ดวงตาดูสวยสดใส
อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
เคล็ดลับการนวดกดจุดเพื่อผ่อนคลายบริเวณรอบดวงตา
เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ให้ดวงตาดูสวยสดใส
    - ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกๆ 2 - 4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1 - 2 ปี
    - สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตา โดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10 - 15 นาที
    - ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดจ้า
    - ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับควันและฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง


อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
    - รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสูง เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆ ดีกว่า
   - รับประทานผักที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระพร้อมทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา
    - รับประทานสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ


เคล็ดลับการนวดกดจุดเพื่อผ่อนคลายบริเวณรอบดวงตา
    1. ใช้ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกทางด้านข้าง 3 ครั้ง
    2. ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้าง หมุนวนรอบดวงตาพร้อมๆกัน ในลักษณะวนตามเข็มนาฬิกา และแต่ละครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 60 รอบ
    3. ใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วไปถึงขมับ 3 รอบ
    4. กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาไปถึงหางตา 3 รอบ
    5. ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ
    6. ทำซ้ำข้อ 2 - 5 ทั้งหมด 3 รอบ
    7. นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา โดยลากน้ำหนักลงที่ปลายนิ้ว ออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อยๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้า

ที่มา เว็บไซต์ผู้หญิงนะค่ะ

อ่านต่อ..

การดูแลผิวรอบดวงตา

ดูแลผิว รอบดวงตา
สภาพโดยทั่วไปของ ผิวพรรณรอบดวงตา เป็นผิวที่มีความบอบบางมากมีกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังน้อย ลักษณะเช่นนี้มักทำให้ผิวในบริเวณดังกล่าวมีปัญหาเรื่องริ้วรอย เกิดการช้ำบวมใต้ตา มีรอยหมองคล้ำ และริ้วรอยแห่งวัย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ วัยที่เพิ่มขึ้น การใช้เครื่องสำอาง การขยี้ตาแรง ๆ แสงแดด แม้แต่การดื่มเหล้าสูบบุหรี่ก็ถือเป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ ผิวรอบตวงตา เกิดปัญหา ริ้วรอย
ดังนั้น วิธีการป้องกันไม่ให้เกิด ริ้วรอยรอบดวงตา เจ้าของดวงตาจึงจำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้ผิวพรรณบริเวณดังกล่าวได้รับผลกระทบจากภายนอก
 1. หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ
 2. ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีในปริมาณน้อย และเหมาะสมกับสภาพผิว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ในบริเวณดังกล่าว
 3. ควรลดปริมาณการดื่มสุรา และสูบบุหรี่ เนื่องจากสารเคมีที่ได้จากควันบุหรี่ และแอลกอฮอล์ในสุรา เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะเส้นใยที่เรียกว่า “อิลาสติน” เกิดการเสื่อมสภาพทำให้เกิด รอยย่น บน ผิวพรรณ ได้ง่าย
 4. สำหรับสาเหตุที่มาจากกรรมพันธ์และวัยที่เพิ่มมากขึ้น เจ้าของดวงตาก็ควรจะดูแล ผิวรอบดวงตา ให้ได้รับความชุ่มชื้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ
แต่หากป้องกันแล้วยังมีปัญหา การแก้ไขก็มีหลายวิธีแล้วแต่สภาพของปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหารอยหมองคล้ำ และ ริ้วรอยรอบตวงตา ถ้าไม่มากจนเกินไป ก็สามารถใช้ยาหรือครีม เพื่อ ลดริ้วรอย และ ความหมองคล้ำ นั้นได้
ปัจจุบันครีมหรือยาประเภทเครื่องสำอางมีจำหน่ายตามท้องตลาดเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสารพิเศษชนิดต่างๆ ที่เป็นปัจจัยในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวพรรณ และริ้วรอยแห่งวัยได้ เช่น สาร AHA ที่ได้จากผัก ผลไม้ ซึ่งสารเหล่านี้มนุษย์รู้จักนำเอามาใช้กันตั้งแต่โบราณแล้ว เช่น การใช้แตงกวาเพราะเชื่อว่าจะช่วย ลดรอยหมองคล้ำ ได้
นอกจากนี้ยังมีเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวอีกมากมายที่นำสารต่าง ๆ มาใช้ในการ ลดริ้วรอยแห่งวัย เช่น BHA หรือกรดเบต้าไฮดร็อกซี, วิตามินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เอ ซี อี รวมทั้งสารสกัดจากพืชต่าง ๆ อีกมากมาย ที่มักถูกนำมาเป็นส่วนผสมในครีมและเครื่องสำอาง
การใช้เครื่องโฟโนโฟรีซีส (Phonophoresis) หรือการทำโฟโนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถลด รอยคล้ำใต้ดวงตา ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
โดยเครื่องมือดังกล่าวจะทำหน้าที่ในการนวดด้วยคลื่นเสียง บวกกับความสั่นสะเทือนเพื่อให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวหน้า ก่อนทำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสภาพผิว และทายาบำรุงผิวลงบนใบหน้า
จากนั้นใช้เครื่องโฟโนคลึงบนใบหน้าเบา ๆ ตัวยาจะถูกดูดซึมเข้าผิวหนัง และเข้าไปบำรุงเซลล์ทำให้เกิดการสร้างตัวมากขึ้นของเชลล์ และทำให้รอยย่นบนใบหน้าลดลงเรื่อย ๆ
นอกจากวิธีการแก้ไขดังที่กล่าวมาแล้วยังมีวิธีการใช้สารพิเศษในการแก้ไข คือ
การฉีดสารโบท็อกซ์ (BOTOX)ซึ่งเป็นโปรตีนสกัด โดยสารนี้จะทำหน้าที่หยุดยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่เป็นสาเหตุของ ริ้วรอย ส่งผลให้ ริ้วรอย อย่างรอยตีนกาถูกขจัดออกไป
การรักษา ริ้วรอยรอบดวงตา ยังมีวิทยาการใหม่ล่าสุดคือ การใช้ เลเซอร์ ที่ไม่ทำให้เกิดแผล แต่มีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว ทำให้ ริ้วรอย กลับมาดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีที่สุดก็คือ การดูแลผิวพรรณให้เกิดความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผิวพรรณทั้งทางตรงและทางอ้อม
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานานๆ
เลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีผลกระทบและระคายเคือง
พักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่และเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
งดหรือลดการสูบบุหรี่ และดื่มสุราทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ข้อมูลโดย : โรงพยาบาลยันฮี

อ่านต่อ..

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีดื่มน้ำ จากคุณหมอ

เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหน ในพฤติกรรมที่ว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละ ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหม
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ ตัวเองหรือยัง
ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิด ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันน้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีก เดี๋ยวมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเราเพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิดผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด เข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า เลิกเบียร์กันไป แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น มีสองเหตุผลครับหนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

อ่านต่อ..

ระวังอันตรายจากการอุจจาระของท่าน

ปัญหาเรื่องการอุจจาระ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ที่ทุกท่านไม่ควรละเลย ปกติหากคนเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ระบบการดูดซึมเสีย ไม่ถ่ายอุจจาระ ในเวลา 05.00-07.00 น. เช้า หรือ หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบ ให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้าง ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่นไปเรื่อย ๆอุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่าง ๆ ในกระเพาะ และ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่ และ สะบักเวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ อีกหลายเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านหายข้องใจ นพ. กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกท่านได้รับทราบ นพ. กฤษดาฯ อธิบายว่า เรื่องอุจจาระตกค้าง หรือ อึค้างเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ทุกคน เราอาจตรวจสัญญาณ อึค้างในลำไส้ใหญ่ได้เองง่าย ๆ โดยการนอนหงาย แล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือไปทางซ้ายหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกเต็มที่ เลื่อนไปมา ถ้ามีอึค้างอยู่ จะคลำได้เป็นลำ คล้ายแท่งยาว ๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ ของลำไส้ โดยลำไส้ใหญ่นี้จะยิ่งคลำได้ชัด ในคนที่ผอม สำหรับคนเจ้าเนื้อ อาจต้องใช้เทคนิคนอนแล้วแขม่วพุงช่วย แล้วค่อยคลำ จะชัดขึ้น ที่จริงเรื่องการอึ ที่ดูเหมือนเป็น กิจวัตรธรรมดา ไม่มีอะไรนั้น มันต้องมีการฝึกเข้าส้วมกันให้ติดเป็นนิสัย กลุ่มคนที่มักมีปัญหาเรื่องอึค้าง ได้แก่
1.เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือ ไม่พา ขยับตัวกลิ้งไปมาสักนิดหน่อย ให้ไส้ได้บีบตัวบ้าง และ ในเด็กที่อึแข็งมาก อึนี่อาจแข็งถึงกับบาดรูก้นได้ เป็นแผล แล้วครั้งต่อไป เด็กจะไม่อยากอึออกมา เพราะกลัวเจ็บ แผลแยก เลยยิ่งกลั้น พอยิ่งกลั้น อึก็ยิ่งแข็งค้างไปเรื่อย
2.คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืด ไปรัดลำไส้ข้างในนุงนัง ทำให้บีบตัวไม่ดี อาจ มีอึค้างอยู่ ตามซอกโน้นซอกนี้ในลำไส้ จนบางท่าน กลายเป็นลำไส้อุดตันไปได้ก็มี
3.ผู้สูงอายุ และ คนไข้นอนโรงพยาบาล ที่ไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน
4.คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แถมกลั้นอึบ่อย โดยเฉพาะท่านที่ทำงาน ออฟฟิศ ต้องนั่งแปะอยู่กับที่นานๆ หรือ งานเข้าบ่อย ต้องขอผลัดเข้าห้องน้ำ ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ดีครับ
5.ท่านที่มีลำไส้ยาว คือยิ่งยาว ก็ยิ่งเป็นไซโล เก็บอึไว้ได้นานขึ้น บางท่าน จะสังเกตว่า ผักก็กินเยอะ แต่อึแค่สัปดาห์ละหนเท่านั้น สำหรับเทคนิค “อึให้ดี ไม่มีตกค้าง” มีดังนี้
1.อย่าอั้นอึตอนเช้า เพราะถ้าเลยเช้าไปแล้ว กว่าร่างกาย จะส่ง สัญญาณให้ปวดอีก อาจจะนานจนผิดเวลา
2..อึให้ตรงกับเวลาเดิม เหมือนเป็นการช่วย “โปรแกรม ลำไส้” ให้คอยบีบไล่อึ ออกมาสม่ำเสมอ ก็จะไม่มีอึตกค้าง
3.รอจังหวะขณะอึ ถ้าขณะนั่งห้องน้ำ ถ่ายหนักอยู่ ถ้าไม่ปวดอย่าเบ่ง ครับ ให้ลองสังเกตว่ามันจะ “ปวดเป็นช่วง ๆ” แล้วก็คลายไป แล้วประเดี๋ยวก็ปวดบีบ ขึ้นมาอีก นั่นเป็นเพราะ ลำไส้ท่านบีบตัวเป็นลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้ามันเลื้อยมาถึงตรงอึพอดี มันจึงปวดขึ้นมา ถ้าเบ่งตอนไม่ปวด จะเหมือนเป็นการ “แกล้งลำไส้” ให้เกิดแรงดันขึ้นมา โดยใช่เหตุ เกิดลำไส้ตอนปลายโป่งพองขึ้นมา กลายเป็น “ริดสีดวงทวาร” ไป
4.นวดลำไส้ ถ้าในเด็ก ให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้องด้านล่างซ้าย เลยสะดือไป นวดเบา ๆ นวดไปมา แล้วทิ้งไว้สักพัก จะรู้สึกปวดถ่ายขึ้นมาได้
5.เอามือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะถ่าย หรือ จะลุกขึ้นนั่งยองเอาหน้าขา เป็นตัวกดไล่อึออกมา เพราะที่จริงแล้ว การอึที่ดีตามธรรมชาติของคนคือ “นั่งยอง” เพราะจะได้ มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การที่ฝรั่งเอาส้วมแบบนั่งโถ มาให้เราใช้ เป็นการผิดธรรมชาติมนุษย์ ที่จะไม่มีแรงเบ่งอึมากในท่านั่งห้อยขา ทำให้คนเอเชีย กลายเป็นทั้งริดสีดวง และ ท้องผูกมากเหมือนฝรั่งด้วย
6.ลุกขึ้นเดินไปมา จะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอา “อึท้ายขบวน” ที่เหลือออกมา แล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที
7.หมุนเอวเป็นเลขแปดนอน หรือ รูปอินฟินิตี้ ในส่วนนี้ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม ท่านเล่าว่าพี่น้องท่าน 11 คน เป็นมะเร็งลำไส้หมด โดยทุกท่านนั้นปรากฏว่ามีปัญหาในการขับถ่ายทุกคน มีท่านคนเดียว ที่ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ เพราะท่านไม่เคยมีปัญหาในการขับถ่าย ท่านขับถ่ายได้เป็นปกติทุกวัน โดยท่านให้คำแนะนำว่า เราต้องกระตุ้นให้ลำไส้ของเราเคลื่อนไหว ทำงานในการขับเคลื่อนของเสียออกทางทวารหนักของเรา ท่านใช้วิธีการ ดังนี้เมื่อตื่นนอนแล้ว หากต้องยืนทำอะไรก็ตาม เช่น การยืนล้างหน้า หรือ ยืนแปรงฟัน หรือ ยืนดูทีวี ท่านจะไม่ยืนนิ่งๆ แต่ท่านจะยืนบริหารลำไส้ ด้วยการหมุนเอวของท่านในรูปอินฟินิตี้ หรือ รูปเลขแปดผรั่งในแนวนอน การยืนบริหารลำไส้เช่นว่าท่านทำมาในสมัยเป็นหนุ่ม จนปัจจุบันอายุ 66 ปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหาในการขับถ่าย และไปตรวจหามะเร็งลำไส้ ก็ไม่ปรากฏ ทั้งๆ พี่น้อง 11 คน เป็นมะเร็งลำไส้หมดทุกคน ก็ขอนำมาเล่าเสริมในส่วนนี้ด้วยครับ ทดลองทำดูแล้ว ก็ได้ผล ทำให้ขับถ่ายได้วันละ 2 เวลาครับ - มงคลฯ ปกติ ไม่ว่าใครก็ตามถ้าความถี่ในการอึน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ท้องผูก”แล้ว นอกจากการออกกำลังกายแล้ว อาจใช้อาหารล้างลำไส้ช่วยได้ เช่น
1. น้ำมะขามเปียก
2.ลูกพรุนแห้ง รับประทานทั้งผล เพราะจะได้กากด้วย ไม่ต้องแยกกินแต่ น้ำ ยกเว้น ถ้าเป็นเด็ก
3.แอปเปิ้ลเขียว กินทั้งผล หรือ ปั่นทั้งกากก็ได้
4.ถั่วดำ จัดเป็นอาหารล้างพิษได้ด้วย
5.สับปะรด และ มะละกอ ซึ่งมีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด และ จะมีสภาพติดเป็นอุจจาระยางเหนียวสีดำคล้ายกับ “จาระบี”ออก
6.ให้เลี่ยงการ ดื่มน้ำเย็น ในตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำสะอาด หรือ น้ำอุ่นตอนเช้าสัก 4 แก้วหลังตื่นมาท้องว่าง จะช่วยให้ลำไส้บีบรัดตัวได้ดี ชวนให้ปวดอึขึ้นมามากขึ้นครับเพื่อสุขภาพที่ดี ทราบแล้วต้องปฏิบัติ อย่าได้ละเลย และ ชวนบุคคลที่ท่านรักและ ปรารถนาดีให้ร่วมกันปฏิบัติตามด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี จาก อ.มงคล กริชติทายาวุธ

อ่านต่อ..