น่าสนใจ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไฟหน้ารถยนต์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไฟหน้ารถยนต์ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไฟหน้า-ไฟฉุกเฉิน : ใช้แบบไหนถูกหรือผิด?

ไฟหน้า-ไฟฉุกเฉิน : ใช้แบบไหนถูกหรือผิด?


รถยนต์สมัยนี้มักจะติดไฟสัญญาณแปลกๆ ซึ่งบางทีกฎหมายจราจรที่ค่อนข้างจะโบราณ
ก็ไม่ได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าอนุญาตให้ใช้สัญญาณอะไรบ้าง ทำให้หลายคนเลือกติด
และใช้กันตามอำเภอใจ จนกลายเป็นธรรมเนียมที่หลายคนปฏิบัติต่อๆ กันมา

ความจริงแล้ว ไฟต่างๆเหล่านี้ เป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง และในเรื่องของความปลอดภัยบนท้อง
ถนน ถือว่า "สัญญาณ" นั้นเป็นภาษาของถนน ซึ่งต้องเป็นสากล หมายความว่าไม่ว่าชนชาติ
ใด พูดภาษาใด จะต้องฟังหรืออ่านภาษาของถนนอันเป็นสากลนี้เข้าใจแจ่มชัดเหมือนกันหมด


ไฟหน้าเจ้าปัญหา-สื่อสารผิดๆ
ไฟสัญญาณอันดับแรกที่กลายเป็นธรรมเนียมอันไม่เป็นสากล และน่าจะเกิดอันตรายก็คือ
ไฟหน้าใหญ่ ที่ผู้ขับขี่ยวดยานชอบเปิดกัน แว็บๆ ให้หลายคนสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไร
กันแน่ ในประเทศไทยเรานั้น แปลกันเองได้ความว่า "เอ็งอย่ามาข้าจะไป" หรือ
"ผมไปก่อนนะ" หรือ "อั๊วใหญ่กว่าไปก่อน" อะไรทำนองนั้น
ก็พอจะเข้าใจกันในประเทศไทยเราว่าหมายความว่าอย่างนั้น ธรรมเนียมนี้ก็ค่อยๆวิวัฒนาการ
ขึ้นไปเรื่อยๆ จนบัดนี้บนท้องถนนหลวงเข้าใจกันได้อีกความหมายหนึ่งว่า เมื่อรถที่วิ่งสวนมา
บนถนนหลวงให้สัญญาณไฟหน้า แว็บๆล่ะก็ ให้เตรียมระวังว่าอย่าขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด
อย่าเดินรถในช่องทางขวา อย่าแซงทางซ้าย ฯลฯ เพราะข้างหน้ามีหน่วยตำรวจทางหลวง
คอยดักจับอยู่ สัญญาณนี้เลยกลายเป็นสัญญาณประสานสามัคคีกันในหมู่ผู้ใช้รถบนถนนหลวง
ไปอีกความหมายหนึ่ง

ส่วนในต่างประเทศบางแห่ง เช่น ในยุโรปและประเทศอังกฤษ ไฟแว็บหน้าที่เปิดกันแว็บๆนั้น
สัญญาณนี้แปลได้ว่า "เชิญคุณไปได้ ผมให้ทางคุณ" ดังนั้น พวกฝรั่งพวกนี้มาขับรถในเมือง
ไทย เห็นพี่ไทยเปิดไฟไห้แว็บๆ ก็นึกว่าเหมือนบ้านตัวก็ออกพรวดไปเลย จึงมักจะถูกชน
ซี่โครงหักไปหลายราย นี่ก็คืออันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เป็นภาษาสากล
แต่อ่านแปลให้ผิดเพี้ยนไปตามวัฒนธรรมของแต่ท้องถิ่นแต่ละประเทศ


แท้จริงแล้วไฟหน้านี้ใช้ทำอะไรและในภาษาสากลหมายความว่าอย่างไร
ไฟแว็บหน้าใหญ่นั้น จริงๆ แล้วแปลว่า "ระวัง" หรือ "ผมอยู่ตรงนี้"
เพื่อเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ระมัดระวังว่า มีรถอีกคันอยู่ตรงนี้ หรืออีกนัยหนึ่งสัญญาณนี้
ใช้แทนสัญญาณแตร ในกรณีที่ใช้แตรไม่ได้ เช่นในเวลากลางคืน กฎหมายห้ามใช้แตรหรือ
ในสถานที่ที่มีเครื่องหมายห้ามใช้แตร เพราะจะรบกวนบุคคลอื่น เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน
สถานที่ราชการ หรือกรณีที่เป็นกลางวัน จะใช้เตือนรถที่หันหน้าเข้าหา
ใช้ไฟแว้บเตือนให้ระวังจะดีกว่าเสียงแตร เพราะแสงนั้นเดินทางได้เร็วกว่าเสียงหลายเท่าตัวนัก

นอกจากนั้นยังมีสัญญาณไฟฉุกเฉินที่วัฒนธรรมผันแปร จนเกิดอุบัติถึงแก่ชีวิตในทางหลวง
หลายรายแล้ว คือสัญญาณไฟฉุกเฉินนั้น รถสมัยนี้จะติดมาให้ทุกคัน เป็นสัญญาณไฟ
เหลืองกะพริบทั้งหน้าหลังซ้ายขวารวม 4 ด้าน ตามวัฒนธรรมบ้านเรา หากรถถูกลากจูงก็จะ
เปิดไฟฉุกเฉินนี้ทันที หรือถ้าผ่านสี่แยกจะไปทางตรงส่วนใหญ่ก็จะเปิดไฟฉุกเฉินนี้ทันที
จุดนี้สร้างอันตรายอย่างมากบนทางหลวง เพราะการให้สัญญาณที่ผิดและไม่เป็นสากล

นั่นเพราะว่าผู้ที่สวนทาง หรือผู้ที่ตามหลัง คงจะเดาได้ว่ารถคันที่ให้สัญญาณนี้คงจะไปตรง
แต่รถที่ผ่านสี่แยกทางด้านข้างจะอ่านสัญญาณที่ผิดทันที เพราะจะเห็นสัญญาณเพียงด้านข้าง
ข้างหนึ่งข้างใดแค่เพียงด้านเดียว ทำให้เข้าใจว่ารถคันที่ให้สัญญาณฉุกเฉินนี้จะเลี้ยวซ้ายหรือ
เลี้ยวขวา แล้วแต่รถคู่กรณีจะอยู่ทางใด เมื่ออ่านผิด รถคันที่อ่านผิดก็จะออกรถไปในทางตรง
ทันที ก็เกิดชนกันกลางสี่แยกถึงบาดเจ็บล้มตายไปมากจึงขอให้นักขับรถทั้งหลาย
พึงระวังในการใช้ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ให้มาก

ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ใช้อย่างไรจึงจะถูกต้อง
ชื่อก็บอกว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน คือหมายความว่า รถคันเกิดเหตุนั้นไปไม่ได้เพื่อให้รถคันอื่นๆ
ทราบว่ารถเราเสียไปไม่ได้ต้องจอดขวางทางอยู่ หรือต้องจอดอยู่เฉยๆหรือรอความช่วยเหลือ
หรือจอดเพื่อดูแลซ่อมแซมอยู่ ก็เปิดไฟฉุกเฉินไว้เพื่อให้รถคันอื่นได้รับทราบ หรือขณะที่ขับ
อยู่บนถนนหลวงมีเหตุที่ต้องจอด เพราะมีสิ่งกีดขวางถนนอยู่จนไม่สามารถเคลื่อนรถได้
ก็ให้เปิดไฟฉุกเฉินนั้น เพื่อให้รถตามหลังมาทราบว่าขณะนี้รถเราจอดอยู่นิ่งๆ บนท้องถนน
ความปลอดภัยก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเราผู้ขับขี่ และแก่บุคคลอื่นที่ตามเรามา
จะได้อ่านสัญญาณนี้ออกเป็นภาษาเดียวกัน

กล่าวโดยสรุปก็คือ ไฟสัญญาณฉุกเฉินนี้ จะใช้ต่อเมื่อรถนั้นได้จอดอยู่กับที่เท่านั้น
ห้ามไปใช้วิ่งบนท้องถนนแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน บางกรณีที่เห็นบ่อยๆ ก็คือ เมื่อรับคนเจ็บป่วย
ต้องการรีบนำไปส่งโรงพยาบาล ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เปิดไฟฉุกเฉินแล้ววิ่ง เพื่อจะได้ถึง
โรงพยาบาลเร็วๆ แต่มักปรากฎว่าทั้งคนขับคนเจ็บและญาติ
ไม่ค่อยจะถึงโรงพยาบาลส่วนมากจะถึงเพียงสี่แยกใดสี่แยกหนึ่งเท่านั้น

ขับรถหากระมัดระวัง ใช้กฎแห่งความปลอดภัยโดยถูกต้อง ทั้งเทคนิคการขับและสัญญาณ
ให้เป็นสากลโดยแท้ ท่านก็จะเป็นผู้ขับรถอย่างปลอดภัยตลอดไป

ที่มา : บริษัท เชลล์แห่งประเทศ ไทย จำกัด



อ่านต่อ..

ไฟหน้าไม่สว่างทำไงดี มาล้างไฟหน้ากันเถอะ

ไฟหน้าไม่สว่างทำไงดี มาล้างไฟหน้ากันเถอะ


ไฟหน้ารถยนต์ที่ใช้กันมาเป็นระยะเวลานานหลายปีตอนนี้อาจส่องแสงสว่างนำทางเราไปตามที่ต่างๆ
ในยามค่ำคืนได้แบบไม่สดใสเหมือนเดิม แบบนี้มันเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน เริ่มจาก
หลอดไฟหน้าที่ใช้มาเป็นเวลานานเริ่มจะใกล้หมดอายุ เนื่องจากหลอดไฟหน้าจะมีอายุการใช้งาน
ของมันเหมือนกัน ท่านที่ใช้รถบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลากลางคืนควรตรวจดูบ้างก็ดีนะครับว่า
สภาพของหลอดไฟหน้าเป็นอย่างไรบ้างแล้วจะได้เปลี่ยนใหม่เพื่อความปลอดภัยดีกว่าทนใช้อยู่
แล้วเกิดวิ่งไปไฟหน้าดับกลางทาง เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร
(โดยเฉพาะที่วิ่งอยู่ตามต่างจังหวัดหรือบนถนนมืดๆบ่อยๆ อันตรายนะจะบอกให้ )

สาเหตุต่อไป อาจเกิดจากสภาพของสายไฟรวมไปถึงปลั๊กเสียบที่ขั้วหลอดไฟหน้าเก่าเกินไป
หรือหมดอายุใช้งาน ซึ่งก็จะทำให้ไฟหน้าไม่สว่างได้สายไฟพวกนี้จะโดนความร้อนภายใน
ห้องเครื่องตลอดเวลาทำให้เสื่อมสภาพกระแสไฟที่จะจ่ายไปยังหลอดไฟหน้าไม่สามารถเดินผ่าน
ได้สะดวก ไฟหน้าจึงสว่างไม่เต็มที่อย่างที่ควร จะเป็นบางท่านนึกว่าไฟหน้าของเดิมสว่างไม่พอ
เลยเล่นเปลี่ยนไปใช้แบบวัตต์สูงๆ คิดว่าจะสว่างแต่ก็ยังหน้ามืดเหมือนเดิม
อันนี้ต้องขอบอกว่าท่านใดที่ใช้วิธีนี้ ก็ควรติดตั้งรีเลย์ไฟหน้าเพิ่มขึ้นจะได้แสงสว่างมากกว่าเดิม
แต่ถ้าไม่เพิ่มรีเลย์เปลี่ยนเฉพาะหลอดไฟหน้าวัตต์สูงบอกได้เลยครับเสียเงินเปล่า ๆ

ตัวปัญหาต่อไปคือ โคมไฟหน้า ที่เริ่มมืดดำจนไม่สามารถให้แสงสว่างลอดผ่านได้ อันนี้เกิดจาก
ความร้อนของหลอดไฟหน้าที่แผ่กระจายออกมาหรือเศษฝุ่นละอองและไอน้ำที่เล็ดลอดเข้าไปก่อ
ตัวขึ้น เนื่องจากซีลยางกันฝุ่นกันน้ำเก่าจนหมดสภาพ ซึ่งตรงนี้เป็นสาเหตุสำคัญทำให้โคมไฟ
หน้าหม่นหมองลงได้ และในจุดนี้เองที่เราจะนำเสนอวิธีการถอดโคมไฟหน้าออกมาล้างเรียก
ความสว่างไสวสดใส ปิ๊งเหมือนเพิ่งออกมาจากโชว์รูมกันเลยทีเดียว
สำหรับขั้นตอนในการถอดโคมไฟหน้าออกมาล้างนี้จะว่ายุ่งยากก็ไม่เต็มปากนัก หรือจะว่าง่ายเกินไปก็คงไม่ใช่ เอาล่ะเราไปดูวิธีกันเลยครับ

ขั้นตอนการถอดไฟหน้านั้นสิ่งแรกที่ต้องเตรียมก็คือ
1. พวกประแจแหวนหรือปากตายก็ได้เบอร์ประมาณ 8 และ 10 มม.
2. ไขควงปากแบนหรือแฉกแล้วแต่รุ่นรถ
3. แล้วถ้าให้ดีก็เตรียมพวกประแจบล็อกและด้ามต่อเบอร์เดียวกันประแจแหวนไว้บ้าง
ในกรณีที่น็อตมันอยู่ลึกนะครับ

การถอดโคมไฟหน้านอกจากเตรียมเครื่องมือให้พร้อมแล้วคนทำต้องในเย็นๆด้วย ไม่งั้นโคมไฟ
หน้าเกิดการเสียหายแล้วจะไม่คุ้มกัน จัดการเปิดฝากระโปรงหน้าเอาเหล็กค้ำฝากระโปรงให้แน่น
หนาเรียบร้อย ต่อจากนั้นก็เล็งดูว่าจะต้องถอดตรงไหนบ้างเพื่อจะได้เอาโคมไฟหน้าออกมาได้ง่าย
หน่อย บางคันที่ไม่ต้องถอดกระจังหน้าก็ถือว่าโชคดีสบายไป
แต่ส่วนใหญ่มักจะต้องถอดทั้งนั้นแหละครับ ถอดกระจังหน้าออกมาเรียบร้อยแล้วก็ถอดปลั๊กไฟ
หน้าออกรวมไปถึงปลั๊กไฟหรี่ด้วย (กรณีที่อยู่ในโคมเดียวกัน)
ต่อมาก็ถอดซีลยางกันฝุ่นออกแล้วค่อย ๆ เอานิ้วไปกดเหล็กสปริงที่ล็อคหลอดไฟหน้าค่อยๆ
หยิบหลอดไฟหน้าออกมา(หลอดไฟหน้าเมื่อถอดแล้วห้ามเอามือไปจับที่ปรอทที่เคลือบอยู่บน
ปลายหลอดไฟและห้ามเอานิ้วไปแตะที่หลอดด้วย ไม่งั้นเวลาเปิดไฟหน้าแล้วแสงมันจะออกมัวๆ
เพราะเปื้อนไขมันจากมือเรา) มองดูว่ามีน็อตที่ยึดโคมไฟหน้าอยู่ตรงไหนบ้าง เจอแล้วก็ค่อย ๆ
ถอดน็อตออก ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวน็อตหล่นหาย

หลังจากถอดน็อตหมดแล้วก็ลองขยับโคมไฟหน้าดูว่า มันจะยอมออกมาหรือไม่หรือว่าติดอะไร
ตรงไหนบ้าง เพราะรถบางรุ่นหรือบางยี่ห้อตรงจุดยึดของไฟหน้าในบางจุดอาจจะใช้ยึดโคมไฟหรี่
หรือไฟเลี้ยวไว้ด้วยก็ได้ครับ เมื่อถอดน็อตครบแล้วไม่มีตรงไหนที่ติดอีกก็ค่อยๆบรรจงยกไฟหน้า
ออกมาวางไว้บนกระดาลังหรือบนแผ่นยางจะได้ไม่เกิดการเสียหาย เรียบร้อยแล้วก็มาต่อกันที่วิธี
การถอดแยกโคมไฟออกเพื่อจะล้างด้านในกัน อ้าว ... พล่ามไปตั้งนานลืมบอกว่าโคมไฟหน้า
รถที่ล้างได้เฉพาะรถรุ่นตั้งแต่ปี 1987 ขึ้นไปหรือประเภทโคมไฟหน้าแบบดวงเดียวขนาดใหญ่
แบบรถรุ่นใหม่ๆ ส่วนรุ่นเก่าพวกที่ใช้โคมไฟหน้าทรงกลมแบบ BMW สมัยเก่าหรือแบบสี่เหลี่ยม
ของรถญี่ปุ่นยุคก่อน พวกนี้ถอดล้างไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดซนไปแกะมาแล้วเสียของ อย่ามาว่ากัน


ค่อย ๆ แกะ เดี๋ยวจะยุ่ง
น่าเสียดายอยู่อย่างสำหรับการถอดล้างโคมไฟหน้าครั้งนี้ เนื่องจากที่แรกเราตั้งใจว่าจะเสนอการ
ถอดล้างไฟหน้าทั้งแบบเลนส์ไฟหน้าที่เป็นแบบกระจกกับเลนส์พลาสติก แต่เผอิญมีปัญหาขัดข้อง
เลยถอดไฟหน้าแบบหลัง เมื่อไม่ได้เราก็ต้องยอมเสนอวิธีการถอดล้างแบบเดียวกันนะครับ
เมื่อถอดไฟหน้าออกมาได้แล้วก็มาลงมือรื้อแยกชิ้นโคมไฟหน้ากัน เริ่มตั้งแต่มองหากิ๊ปล็อค
ระหว่างเลนส์ไฟหน้ากับตัวโคมเสียก่อน ซึ่งตัวกิ๊ปล็อคนี่ส่วนมากจะเป็นแผ่นอลูมิเนียมบาง ๆ
ให้ใช้ไขควงปากแบนอันเล็กค่อย ๆ แงะล็อคให้หลุดออกมา ตอนแงะเนี่ยระวังตัวเลนส์ที่เป็น
กระจกจะแตก หลังจากตัวแรกหลุดไปเราก็แงะอันอื่นๆ ออกให้หมดแล้วใช้ไขควงปากแบนอัน
เดิมค่อย ๆ แงะให้เลนส์และตัวโคมแยกออกจากกัน ขั้นตอนต้องใจเย็นๆหน่อยเดี่ยวจะเสียของ
ออกมาเรียบร้อยแล้วก็เอาเลนส์กระจกวางไว้บนแผ่นยางหรือกระดาษลังจะได้ไม่แตก
ต่อมาแกะเอาซีลยางออกมาเช่นกัน เมื่อแยกชิ้นเรียบร้อยแล้วเราก็ลงมือทำความสะอาดกันเลย

ขั้นตอนแรกแสนง่าย นำเอาเลนส์กระจกไปทำความสะอาดด้วยการล้างโดยใช้น้ำสบู่ น้ำยาล้างรถ
หรือน้ำยาเช็ดกระจกก็สุดแล้วแต่จะเลือกครับ วิธีการก็ไม่มีอะไรมากแค่เอาเลนส์ไปล้างน้ำสะอาด
แล้วต่อด้วยน้ำยาที่กล่าวไปข้างต้นให้ทั่วทั่งด้านนอกและด้านในจับเลนส์ไฟหน้าให้ถนัดมือหน่อย
เดี๋ยวจะหล่นแตกไปซะก่อน เสร็จแล้วก็ล้างด้วยน้ำสะอาดให้เรียบร้อย แล้วก็นำเลนส์ไฟหน้าไปเป่าด้วยลมเย็นให้แห้งสนิทแล้วพักไว้ก่อน

ขั้นตอนต่อไปก็คือการทำความสะอาด จานฉาย ซึ่งมีข้อควรระวังคือห้ามนำไปล้างน้ำเด็ดขาด
นำกระดาษทิชชูมาเช็ดที่จานฉายก็ไม่ได้ เดี๋ยวเกิดริ้วรอยขึ้นแล้วจะเศร้าเพราะต้องเปลี่ยนใหม่
การทำความสะอาดที่ถูกวิธีที่สุดคือใช้ลมเป่าเบา ๆ ไล่เศษฝุ่นละอองออกไปก็พอ
เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็เตรียมประกอบกลับเข้าไปให้เหมือนเดิม

ก่อนจะประกอบโคมไฟหน้าก็ต้องตรวจเช็คซีลยางขอบไฟหน้าว่ามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าซีลยางเริ่มกรอบหรือแตกลายงาควรเปลี่ยนซะให้เรียบร้อย
ยกเว้นถ้าเป็นรถรุ่นเก่าไม่อะไหล่ให้เปลี่ยนก็ใช้ของเดิมเสริมทับด้วยซิลิโคนอย่างดีก็พอไหว
เมื่อตรวจเช็คเรียบร้อยแล้วก็ลงมือประกอบกัน เริ่มจากนำจานฉายที่ยึดอยู่กับโคมไฟมาเตรียมไว้
ต่อมาก็นำซีลยางกันน้ำและฝุ่นมาประกอบเข้าไป(ขั้นตอนนี้ถ้าซีลยางเกิดหมดสภาพแล้วไม่มีของ
ก็ควรนำซิลิโคนมาอัดให้รอบกรอบไฟหน้าแล้วก็นำซีลยางมาวางลงไปเสร็จแล้วก็อัดซิลิโคนอีกที)
จากนั้นค่อยๆ นำเลนส์ไฟหน้ามาประกบกลับลงไป ระวังตอนอัดซิลิโคนอย่าให้มากเกินไป
มันจะไหลเลอะเทอะ เสร็จแล้วก็เอากิ๊ปล็อคมายึดกลับเข้าไปให้ครบ ทิ้งเวลารอให้ซิลิโคนแห้ง
สัก 2-3 ชั่วโมงก่อนประกอบกลับใส่เข้าไปในตัวรถแบบเดียวกับขั้นตอนในการถอด
แล้วลองใช้งานดูว่ามันสว่างกว่ามากน้อยแค่ไหน

แถมให้อีกหน่อยแล้วกันครับถึงจะไม่มีนายแบบให้เราทำในครั้งนี้ แต่ก็เคยมีคนทำให้เห็นเป็น
ขวัญตาแล้ว เหมือนกันสำหรับการถอดล้างไฟหน้าแบบเลนส์พลาสติกซึ่งกรรมวิธีอาจจะยุ่งยากกว่า
แบบที่เรานำเสนอไปนิดหน่อย เครื่องไม้เครื่องมือในการถอดประกอบก็เหมือนกับแบบแรกแต่มี
ผู้ช่วยสำคัญเพิ่มเติมขึ้นก็คือ โบลเออร์ลมร้อน บ้านใครไม่มีก็ใช้ไดร์เป่าผมละกัน
ขั้นตอนการรื้อจากรถเหมือนแบบแรก แต่วิธีการแยกชิ้นจะยุ่งยากและใช้เวลามากกว่าแบบแรก
พอสมควร เริ่มจากนำโบลเลอร์ลมร้อนหรือไดร์เป่าผมมาเป่าไล่ตรงขอบระหว่างเลนส์กับโคมไฟ
แต่อย่าจ่อใกล้มาก ทั้งนี้เพื่อให้ซิลิโคนได้รับความร้อนแล้วอ่อนตัวจนพอจะสามารถแยกชิ้น
ระหว่างเลนส์ไฟหน้าและโคมไฟออกจากกัน (ข้อควรระวังอย่าเป่าลมร้อนจ่อที่เดิมนานเกินไป
ควรเป่าไล่ไปรอบๆ ไม่อย่างนั้นแทนที่ซิลิโคนจะอ่อนตัวกลับกลายเป็นเลนส์และตัวโคมไฟ
ละลายไปเสียเอง) เมื่อแยกชิ้นได้เรียบร้อยแล้วก็นำไปทำความสะอาดเหมือนแบบแรกรวมไป
ถึงวิธีการประกอบกลับเช่นกัน

ขอบอกอีกครั้งสำหรับการล้างโคมไฟหน้าเพื่อฟื้นฟูสภาพให้กลับมาใสสว่างดังเดิม คิดจะลงมือทำ
เองต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้วก็ใจเย็นๆค่อยๆทำ ไม่งั้นแทนที่จะได้ซ่อมอาจต้องซื้อใหม่แทน
วันว่างครั้งต่อไปก็ลองทำดูครับ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแน่ แต่ถ้าไม่อยากทำเองจะนำไปให้ศูนย์บริการหรือร้านที่รับทำจัดการรื้อออกมาล้างให้ก็ได้ครับ

ข้อมูลโดย : นิตยสาร นักเลงรถ

อ่านต่อ..